เอปสัน ประเทศไทย เดินหน้าครองผู้นำตลาดอิงค์เจ็
17 มีนาคม 2563 – เอปสัน ประเทศไทย เผยกลยุทธ์ธุรกิจ ‘Double LEAD’ ตั้งเป้ายึดตำแหน่งผู้นำตลาดอิ งค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อองค์กรธุ รกิจ
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่ างมากต่อเอปสัน ประเทศไทย เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทไอที ในตลาด เพราะต้องปรับกลยุทธ์รับมือกั บสภาพตลาดไอทีในประเทศโดยรวมที่ หดตัวลง 5.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิ จชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาทั้ งในประเทศและต่างประเทศ บวกกับงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลไม่ สามารถเบิกจ่ายได้ตามกำหนด ทำให้ส่งผลกระทบต่ อโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แผนการลงทุนและจัดซื้อจัดจ้าง รวมไปถึงแผน การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอี กด้วย ทั้งองค์กรรัฐและเอกชนจึงมี การลงทุนในสินค้ากลุ่มไอทีลดลง ส่วนภาวะ การระบาดโควิด-19 นั้น ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุ รกิจของบริษัทฯ โดยตรง แต่อาจทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ บริโภคลดต่ำลงและส่งผลต่ อบรรยากาศการลงทุนในภาคธุรกิ จโดยรวม”
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด
“จากสถานการณ์ดังกล่าว เอปสัน ประเทศไทย คาดการณ์ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์พริ นเตอร์ทั้งหมดของบริษัทฯ จะปรับตัวลดลง 6% เมื่อเทียบกับปี 2561 แต่ยังคงสามารถยืนตำแหน่งผู้ นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ B2B ของไทยได้ทั้งในเชิงมูลค่ าและจำนวนยูนิต ด้วยสัดส่วนการตลาด 38% และ 44% โดยช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับกลวิธีในการจำหน่าย โดยเพิ่มความสำคัญกับช่ องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อเข้าถึงองค์กรเอสเอ็มอีทั่ วประเทศได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังโฟกัสในตลาด replacement โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการเปลี่ ยนจากเลเซอร์พรินเตอร์และพริ นเตอร์ที่ใช้ตลับหมึกมาใช้อิงค์ แท็งค์พรินเตอร์ เพื่อประหยัดต้นทุนการพิมพ์ และค่าไฟ รวมถึงลูกค้าที่ต้องการเพิ่ มจำนวนพรินเตอร์เอปสันในองค์ กรเป็นหลัก”
นายยรรยง กล่าวต่อว่า “สำหรับยอดขายของอิงค์เจ็ทพริ นเตอร์ประเภทต่างๆ ของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์ กรธุรกิจ Epson WorkForce คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้ างรายได้เติบโตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 79% เนื่องจากสามารถเข้าไปแย่งส่ วนแบ่งตลาดจากกลุ่มเครื่องถ่ ายเอกสาร รองลงมาคือกลุ่มพรินเตอร์ เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่มี ยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ได้แก่ พรินเตอร์ฉลากอุตสาหกรรม พรินเตอร์หน้ากว้างใช้ภายในองค์ กร พรินเตอร์เพื่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ และพรินเตอร์ป้ายโฆษณา ในส่วนกลุ่ม Epson EcoTank อิงค์เจ็ทพรินเตอร์รุ่นประหยั ดเพื่อองค์กรธุรกิจทุกขนาด และกลุ่มดอทเมทริกซ์พรินเตอร์ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ จากยอดขาย ณ สิ้นปีงบประมาณนี้ ได้ไม่ต่างจากปีงบประมาณก่อนหน้ านั้น”
นายยรรยง กล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริ ษัทฯ ว่า “เอปสัน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของการก่อตั้งบริษั ทในประเทศไทยในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ มีเป้าหมายในการรักษาตำแหน่งผู้ นำตลาดพรินเตอร์ของประเทศไทย ผ่านกลยุทธ์ ‘Double LEAD’ ซึ่งประกอบด้วย LEAD ที่ 1 คือการนำเสนอคุณค่า (Value Proposition) 4 ประการ ที่สามารถแก้ไขเพนพอยต์ และตอบโจทย์ความต้องการด้ านการพิมพ์งานภายในองค์กรธุรกิ จต่างๆ ได้แก่ Low Total Cost of Ownership, Eco-friendly environment, Advanced performance และ Digital transformation ส่วน LEAD ที่ 2 คือกลยุทธ์การดำเนินงาน ผ่าน 4 กระบวนการเพื่อถ่ายทอดคุณค่าที่ ได้กล่าวมาไปสู่ธุรกิจของลูกค้า ได้แก่ Launch, Educate, Assist และ Drive”
“สำหรับคุณค่าทั้ง 4 ประการ ประกอบด้วย Low Total Cost of Ownership หรือต้นทุนการเป็นเจ้าของที่ถู กลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุ กรายต้องการ เพราะทำให้ต้นทุนการผลิตหรื อรายจ่ายในองค์กรถูกลง ยกตัวอย่างเช่น อิงค์เจ็ทพรินเตอร์เอปสันที่ใช้ เทคโนโลยีหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซรุ่ น และหัวพิมพ์รุ่นใหม่ PrecisionCore Line สามารถพิมพ์งานคุณภาพสู งในความเร็วสูงได้อย่างต่อเนื่ อง และไม่มีขั้นตอนหรือชิ้นส่วนอุ ปกรณ์ในการพิมพ์มากมายเหมื อนเลเซอร์พรินเตอร์ จึงช่วยให้ราคาเครื่องและค่าพิ มพ์ต่อแผ่นถูกว่า ทั้งยังช่วยประหยัดค่าไฟได้ มากกว่าการพิมพ์ด้วยเลเซอร์พริ นเตอร์ถึง 90% ส่วนการบำรุงรักษาก็ยังทำได้ง่ ายและถูกกว่า รวมไปถึงอายุการใช้งานก็ยั งนานกว่าอีกด้วย”
“ด้าน Eco-friendly environment อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสู งของเอปสันถูกพัฒนาให้ใช้พลั งงานที่น้อยลง และเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อมในองค์กร ไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมลพิ ษจากฝุ่นผงหมึกในที่ทำงาน เมื่อเทียบกับเลเซอร์พรินเตอร์ ที่ใช้โทนเนอร์หมึกในการพิมพ์ นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องที่ไม่ใช้ความร้ อนในกระบวน การพิมพ์ (heat free) อาทิ Epson WorkForce Enterprise WFC20590 ซึ่งเป็นอิงค์เจ็ทที่ใช้พลั งไฟฟ้า และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้ อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 85% รวมทั้งยังมีปริมาณของเสียน้ อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 59% ในส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมสำหรั บการพิมพ์สิ่งทอของเอปสัน ยังสามารถช่วยลดการใช้น้ำ ในกระบวนการพิมพ์ได้มากถึง 60% อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดมลพิ ษจากสารเคมี และลดการใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 55%” นายยรรยง กล่าวต่อ
“คุณค่าที่ 3 ได้แก่ ประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์ กรที่ดีขึ้น หรือ Advanced performance เอปสันมีไลน์ผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ ทพรินเตอร์ที่ครบครัน มีจำนวนรุ่นจำหน่ายในท้ องตลาดมากที่สุด สามารถช่วยเพิ่มความเร็วและให้ ผลงานพิมพ์คุณภาพสูง รวมไปถึงรองรับการพิมพ์บนวัสดุ ที่มีความหลากหลายทั้งประเภท ขนาด และความหนา ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถยกระดับประสิทธิภาพการพิ มพ์งานในองค์กรและธุรกิจการพิ มพ์สามารถสร้างรายได้จากไลน์ธุ รกิจใหม่ ยกตัวอย่างเช่น Epson EcoTank M-Series ที่เป็นอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ขาวดำที่สามารถพิมพ์งานปริ มาณมากได้เร็วและมีคุณภาพเที ยบเท่ากับเลเซอร์พรินเตอร์ แต่ช่วยประหยัดค่าไฟและต้นทุ นการพิมพ์ต่อแผ่นได้มากกว่า หรือ Epson SureColor T-Series ที่ได้รับรางวัลด้ านการออกแบบผลิตภัณฑ์จากเวที Red Dot Design นอกจากจะพิมพ์งานประเภท CAD สำหรับงานก่อสร้างและงานวิ ศวกรรม รวมถึงงานพิมพ์ด้านสถาปั ตยกรรมและการออกแบบภายใน งานแผนที่ได้แล้ว ยังสามารถพิมพ์สื่อโฆษณา ประเภทโปสเตอร์ โบรชัวร์ และป้ายโฆษณา เหมาะกับการใช้ภายในองค์กร หรือ Epson SureColor S-Series ที่รองรับการพิมพ์งานสื่ อโฆษณาและยังพิมพ์บนวัสดุอื่นๆ ได้ เช่น หนังเทียม แคนวาส ฟิล์มใส จึงสามารถนำไปผลิตสินค้าแฟชั่ นหรือของที่ระลึกได้”
“ปัจจุบัน 3 ใน 4 ของเอสเอ็มอีทั่วภูมิภาคอาเซี ยนได้นำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ ามาใช้ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนิ นธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่ างยั่งยืน และเพื่อสอดรับกับกระแสดังกล่าว เอปสันจึงมีอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ประสิทธิภาพสูงออกสู่ตลาดอย่ างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนกระบวนการ Digital Transformation ทางธุรกิจ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้นำพริ นเตอร์เชิงพาณิชย์และอุ ตสาหกรรมของเอปสันไปใช้เสริ มในกระบวนการผลิตมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ ซึ่ง Epson SureColor F-Series ได้ถูกนำเข้าไปใช้ในโรงงานเพื่ อเพิ่มไลน์การพิมพ์แบบ print-on-demand รองรับการผลิตสินค้าตามดีไซน์ และออร์เดอร์ของลูกค้ าในจำนวนจำกัด จึงช่วยลดปริมาณสินค้าในสต็ อกและลดค่าใช้จ่ายและปริ มาณของเสียจาการผลิตลงได้ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของดี ไซเนอร์ เพราะสามารถช่วยสร้างสรรค์ ผลงานแฟชั่นในรูปแบบเฉพาะตัว มาตอบรับกระแสนิยมในตลาดขณะนั้น ได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำลง”
นายยรรยง กล่าวเสริมว่า “สำหรับกลยุทธ์ LEAD เพื่อนำเสนอคุณค่าทั้ง 4 ด้านให้แก่ลูกค้าองค์กรธุรกิ จของบริษัทฯ ประกอบด้วย Launch หรือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ ครอบคลุมการพิมพ์ทุกประเภทงาน ในองค์กรและทุกธุรกิจการพิมพ์ โดยผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ ายและอีคอมเมิร์ซ ต่อมาคือ Educate หรือการให้ความรู้แก่ลูกค้ าและตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับผลิ ตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงคุณค่าในด้านต่างๆ ที่เอปสันสามารถมอบให้แก่ลูกค้ าได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความมั่ นใจและความคุ้นเคยในเทคโนโลยี ของเอปสัน รวมถึงการให้ความรู้ เพื่อเพิ่มความชำนาญแก่ที มงานของตัวแทนจำหน่ายในการดู แลและซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของเอปสั น”
“Assist หรือการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ทั้งในด้านการติดตั้งและการบำรุ งรักษา รวมไปถึงการให้ คำแนะนำในการขยายแพลทฟอร์มการพิ มพ์ภายในองค์กร ผ่านการใช้งานแบบเช่าเครื่ องและคิดค่าบริการแบบรายแผ่น ภายใต้ชื่อ Epson EasyCare 360 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้เครื่ องพิมพ์ Epson WorkForce และบริการเหมาจ่ายแบบรายเดื อนภายใต้ชื่อ Epson EasyCare Mono สำหรับกลุ่มลูกค้า Epson EcoTank M-series ที่สามารถเช่าเครื่องพร้อมหมึ กแบบเหมาจ่ายรายเดือน และสุดท้ายคือ Drive หรือการกระตุ้นลูกค้าเดิมและลู กค้ากลุ่มเป้าหมายให้เกิ ดความสนใจในการลงทุนกับเอปสั นในอนาคต ผ่านโปรโมชั่นและกิ จกรรมทางการตลาดต่างๆ”
“ในปี 2563 นี้ จะเป็นปีของการครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งเอปสัน ประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้ นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ B2B ของประเทศไทยให้ได้ไว้อีกครั้ง พร้อมกับขยายฐานลูกค้าให้กว้ างออกไปสู่กลุ่มธุรกิจและอุ ตสาหกรรมใหม่ๆ ผ่านกลยุทธ์และคุณค่าของเอปสั นที่สามารถสร้างความแตกต่างให้ กับธุรกิจของลูกค้าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะกลับมาสู่ภาวะปกติในไม่ช้า รวมถึงการอนุมัติการเบิกจ่ ายของงบประมาณรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิ จกลับมาทำงานอีกครั้ง การลงทุนในเทคโนโลยีด้านต่างๆ ขององค์กรธุรกิจก็จะเพิ่มมากขึ้ น ตลาดไอทีก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ ง” นายยรรยง กล่าวทิ้งท้าย