เชื่อว่าโลกของการถ่ายภาพนั้นเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆ คน และโลกของภาพถ่ายก็เต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างสรรค์ของเหล่าช่างภาพ แต่สำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่ การเริ่มต้นอาจดูสับสนและหลายคนคิดว่ายากเกินไป
ผมเลยเขียนบทความนี้เพื่อเป็นคู่มือฉบับย่อที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเลือกกล้องที่เหมาะสม หรือ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการถ่ายภาพ เพื่อให้คุณเริ่มต้นเส้นทางการเป็นช่างภาพ ได้อย่างมั่นใจ และต่อไปนี้ คือคำแนะนำที่ผมพอจะรวบรวมมาให้มือใหม่ได้อ่านกันครับ

ทำความรู้จักกับอุปกรณ์ก่อนซื้อมาใช้งาน (กล้องและเลนส์)
ในระดับบุคคลทั่วไป ผมก็ยังเห็นด้วยว่าอุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องมีกล้องราคาแพงที่สุดก็ได้ครับ แต่การเข้าใจกล้องที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อ หรือกล้องที่คุณมีอยู่แล้วนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR, Mirrorless หรือแม้แต่สมาร์ทโฟน การเรียนรู้ปุ่มต่างๆ ฟังก์ชันต่างๆ ที่กล้องตัวนั้นๆ สามารถทำได้ หรือทำไม่ได้ โหมดการถ่ายภาพ (เช่น Auto, P, Av/A, Tv/S, M) ถือเป็นสิ่งสำคัญครับ แต่ถ้าหากมีทุนทรัพย์มากพอก็ควรจะหาเทคโนโลยีที่ดีกว่ามาใช้งานได้ครับ เพราะมันจะช่วยให้เราพัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพได้มากขึ้นมากเลยทีเดียวครับ

การเลือกซื้ออุปกรณ์ ก็จำเป็นที่ผู้ซื้อจะต้องหาข้อมูลของกล้องแต่ละตัวให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานของตัวเอง ผมมักได้รับคำถามจากคนรู้จักมากมายว่า ซื้อกล้องหรือเลนส์ตัวไหนดี ถ้าจะถ่ายภาพแนวนู่นนี่นั่น หรือ ควรจะซื้ออะไรเพิ่มดี หรือหากมีข้อเปรียบเทียบที่ใกล้เคียงกันควรจะซื้อตัวไหนดี?
ผมมักจะย้อนถามกลับเสมอๆว่า อยากเอาไว้ถ่ายอะไร? มีงบเท่าไหร่? ความจริงจังในการถ่ายภาพประมาณไหน? แค่ถ่ายเก็บภาพ ถ่ายภาพขาย หรือทำเป็นอาชีพ เพราะเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจแทบทุกข้อ และสิ่งที่ผมมักจะแนะนำให้พิจารณาก่อนแบบเข้าใจง่ายที่สุดคือ ต้องการถ่ายภาพแบบต้องการความละเอียดสูง หรือต้องการถ่ายภาพที่ต้องอาศัยความเร็วเป็นหลัก

ถ้าต้องการความละเอียดสูง ก็ควรเลือกกล้องที่มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ หรือ มีจำนวนพิกเซลเยอะๆ อย่าง 45 ล้านพิกเซล หรือมีการจัดการ Noise ได้ดี เป็นต้น แต่ถ้าหากต้องการความเร็วทั้งในการโฟกัส หรือไดรฟ์ชัตเตอร์เร็วๆ ก็ควรเลือกกล้องที่เคลมว่ามีความเร็วชัตเตอร์ต่อวินาทีเยอะๆ อย่าง 20 เฟรมต่อวินาทีขึ้นไป และกล้องทั้งสองแบบมักจะแยกรุ่น หรือซีรีย์กันอย่างชัดเจน มีน้อยมากที่กล้องจะสามารถทำได้ทั้งจำนวนพิกเซลเยอะและสามารถถ่ายภาพได้หลายเฟรมต่อวินาทีได้ (มีครับ แต่ราคาก็จะเป็นตัวตัดสินใจในการซื้อด้วย)

นอกจากกล้องแล้ว ผู้เริ่มต้นยังจำเป็นจะต้องเรียนรู้เรื่องเลนส์อีกด้วย เพราะเลนส์มีให้เลือกหลากหลายมาก และคุณสมบัติของเลนส์ก็แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะของเลนส์ที่ให้มุมรับภาพที่แตกต่างกัน ให้มิติที่แตกต่างกัน รูรับแสงที่แตกต่างกัน (ซึ่งมีราคาที่แตกต่างกันทำให้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย)

ขอบคุณภาพ : minhtuyen tran from Pixabay
ฝึกฝนการใช้โหมดการถ่ายภาพต่างๆ ที่มีในกล้อง
ทำความเข้าใจโหมดการถ่ายภาพ A, S, P, M สำหรับผู้เริ่มต้นที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการถ่ายภาพ การทำความเข้าใจโหมดการถ่ายภาพต่างๆ บนกล้องของคุณถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามจากโหมดอัตโนมัติ (Auto) ไปสู่การควบคุมกล้องเพื่อให้ภาพถ่ายของคุณออกมาได้ตามที่ต้องการ อย่างโหมด A (Aperture Priority), S (Shutter Priority), P (Program Auto) และ M (Manual) คือหัวใจสำคัญที่นักถ่ายภาพทุกคนควรรู้จัก

โหมด Auto เหมาะสำหรับมือใหม่สุดๆ ซึ่ง นั่นเป็นการให้กล้องจัดการทุกอย่าง และ มันเป็นการยากมากที่จะถ่ายภาพให้ได้ตามที่เราต้องการ (ไม่ได้บอกว่ามันใช้ไม่ได้นะครับ เพียงแต่มันตอบสนองเราไม่ได้ทุกเรื่อง)
โหมด P (Program Auto) นับว่าเป็นโหมดพื้นฐานที่หลายๆ คนแนะนำให้มือใหม่ใช้งานกล้องในโหมดนี้ครับ โดยที่กล้องจะเลือก รูรับแสง และ ความเร็วชัตเตอร์ ให้ แต่เราสามารถปรับชดเชยแสง ปรับค่าอื่นๆ อย่าง ISO ได้ ซึ่งข้อดีของโหมดนี้คือ ใช้งานง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งค่ามากนัก ให้ภาพที่มีการเปิดรับแสงที่ถูกต้องในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องให้ความสำคัญเสมอคือ กล้องอาจเลือกค่าที่ไม่ได้ตรงกับความตั้งใจของคุณเสมอไป เช่น อาจเลือกความเร็วชัตเตอร์ต่ำเกินไป (เพื่อให้ค่าแสงพอดี) จนภาพสั่นในบางกรณี
โหมด Av/A (Aperture Priority) เป็นโหมดที่เราควบคุมรูรับแสง (f-stop) เอง มือใหม่หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยเวลาปรับกล้อมมาใช้โหมดนี้ และหมุนแป้นปรับชัตเตอร์สปีดไม่ได้ นั่นก็เพราะโหมดนี้ กล้องจะเลือกความเร็วชัตเตอร์ให้เหมาะกับการควบคุม DoF ที่คุณเป็นคนปรับค่า F-stop โดยที่กล้องจะเปิดม่านชัตเตอร์เพื่อให้ภาพมีการเปิดรับแสงที่ถูกต้อง นั่นเองครับ
ในโหมดนี้คุณจำเป็นจะต้องเข้าใจการปรับค่ารูรับแสง ซึ่งรูรับแสง มีผลอย่างมากต่อความชัดลึกของภาพ (Depth of Field – DoF) ซึ่งหมายถึงบริเวณที่ชัดเจนในภาพของคุณ หรือความชัดลึกชัดตื้นในภาพ ซึ่งข้อดีของโหมดนี้คือ
คุณสามารถควบคุม DoF ได้อย่างอิสระ สร้างสรรค์ภาพเบลอสวยๆ ได้ง่าย และกล้องช่วยคำนวณความเร็วชัตเตอร์ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดรับแสงมากนัก แต่ก็มีข้อควรระวังคือ หากใช้ค่า f สูงมากในสภาพแสงน้อย กล้องอาจเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำมาก ทำให้ภาพสั่นได้ง่ายหากไม่มีขาตั้งกล้อง
โหมด S / Tv (ในกล้อง Canon จะใช้สัญลักษณ์ Tv) หรือ Shutter Priority คือโหมดที่เรา ควบคุมความเร็วชัตเตอร์เอง และ กล้องจะเลือกค่ารูรับแสง (Aperture) หรือ F-stop ให้ ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการการควบคุมการเคลื่อนไหว หรือถ่ายภาพแอคชั่นนั่นเองครับ ซึ่งความเร็วชัตเตอร์ มีผลโดยตรงต่อการหยุดนิ่งหรือแสดงการเคลื่อนไหวในภาพ การตั้งค่าที่เข้าใจง่ายๆ เช่น ความเร็วชัตเตอร์สูง เช่น 1/1000s, 1/2000s ชัตเตอร์จะเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว ทำให้หยุดการเคลื่อนไหว ของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างคมชัด ในทางกลับกัน ความ เร็วชัตเตอร์ต่ำ เช่น 1/30s, 1s, 30s ชัตเตอร์จะเปิดค้างไว้นานขึ้น ทำให้เกิด “Motion Blur” หรือภาพที่มีการเคลื่อนไหวเบลอๆ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพน้ำตกให้เป็นสาย รถที่กำลังเคลื่อนที่ให้เป็นเส้นแสง หรือการถ่ายภาพดาวหมุนนั่นเองครับ
โหมด M (Manual) เป็นโหมดที่คุณต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ควบคุมค่ารูรับแสง (Aperture), ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) และค่า ISO ด้วยตัวคุณเองทั้งหมด กล้องจะไม่มีการปรับเปลี่ยนค่าใดๆ ให้คุณอัตโนมัติ โหมดนี้ถือเป็นโหมดที่ให้การควบคุมสูงสุดและเป็นที่นิยมของช่างภาพมืออาชีพ (ที่จริงก็ใช้ได้ทุกระดับแหละครับ หากเข้าใจ Exposure Triangle ดีพอ) ซึ่งโหมดนี้เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการความแม่นยำในการควบคุมแสงและรูปลักษณ์ของภาพอย่างสมบูรณ์ เช่น การถ่ายภาพในสตูดิโอ การถ่ายภาพยามค่ำคืน การถ่ายภาพพลุ หรือสถานการณ์ที่มีแสงคงที่
ข้อดีของการใช้โหมดนี้คือ คุณควบคุมการเปิดรับแสงได้เองตามต้องการ ได้ภาพที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด ช่วยให้คุณคิดวิเคราะห์สภาพแสงและผลลัพธ์ของภาพก่อนถ่ายได้ดี ข้อควรระวังคือ ต้องมีความรู้และความเข้าใจในกฎสามเหลี่ยมการเปิดรับแสง (สปีดชัตเตอร์ F-stop ISO) เป็นอย่างดี หากตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ เช่น ภาพอาจมืดหรือสว่างเกินไปได้

ทำความเข้าใจสามเหลี่ยมแห่งการเปิดรับแสง (Exposure Triangle)
นี่คือหัวใจของการถ่ายภาพเลยก็ว่าได้ครับ หากเข้าใจเรื่องนี้ก็จะทำให้เราปรับโหมดการใช้งานกล้อง ปรับค่าการถ่ายภาพให้ได้ภาพตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ที่ทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่เซ็นเซอร์กล้อง ได้แก่
รูรับแสง (Aperture – f-stop) จะเป็นตัวควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่กล้องและควบคุมความชัดลึกชัดตื้นของภาพ (Depth of Field – DoF) ค่า f น้อย (เช่น f/1.8) จะทำให้ภาพชัดตื้น (ฉากหลัง/หน้าเบลอ ไม่ใช่เบลอเฉพาะฉากหลังครับ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดในเรื่องนี้) และรับแสงได้มาก ส่วนค่า f มาก (เช่น f/16) จะทำให้ภาพชัดลึก (ชัดทั้งภาพ ตั้งแต่จุดที่เราโฟกัสกินพื้นที่มาด้านหน้าและด้านหลังด้วยเช่นกัน) และรับแสงได้น้อย
ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) จะเป็นตัวช่วยควบคุมระยะเวลาที่เซ็นเซอร์รับแสง ยิ่งความเร็วชัตเตอร์สูง (เช่น 1/1000 วินาที) จะหยุดการเคลื่อนไหวได้ดี แต่รับแสงได้น้อยลง ยิ่งความเร็วชัตเตอร์ต่ำ (เช่น 1/30 วินาที) จะทำให้ภาพดูมีการเคลื่อนไหว (Motion Blur) และรับแสงได้มากขึ้น
ค่า ISO จะช่วยควบคุมความไวแสงของเซ็นเซอร์ ยิ่ง ISO ต่ำ (เช่น ISO 100) ภาพจะมี Noise น้อย แต่ต้องใช้แสงมาก ยิ่ง ISO สูง (เช่น ISO 6400) ภาพจะยิ่งสว่างขึ้นในที่มืด แต่จะมี Noise เพิ่มขึ้นตาม ISO ที่เราใช้ครับ

เรียนรู้เรื่ององค์ประกอบภาพ (Composition)
อันที่จริงเรื่องนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องของรสนิยมของแต่ละคนครับ เพียงแต่กฎต่างๆ จะช่วยให้เราจัดการภาพถ่ายของเราได้เร็วและง่ายขึ้น และมันถูกยอมรับมาแล้วว่าจุดที่กำหนดมานั้น สามารถทำให้เกิดความน่าสนใจในภาพมากขึ้นและสื่อความหมายได้ดีขึ้นนั่นเอง โดยมีหลักการที่ควรรู้ เช่น
กฎสามส่วน (Rule of Thirds) คือ แบ่งภาพออกเป็น 9 ส่วนเท่าๆ กันด้วยเส้นแนวนอน 2 เส้นและแนวตั้ง 2 เส้น วางจุดสนใจไว้ที่จุดตัดหรือตามแนวเส้นครับ
เส้นนำสายตา (Leading Lines) โดยการใช้เส้นในภาพนำสายตาผู้ชมไปยังจุดสนใจ
ความสมมาตร (Symmetry) และความไม่สมมาตร (Asymmetry) การจัดวางองค์ประกอบให้สมดุล
การจัดเฟรม (Framing) ใช้สิ่งต่างๆ ในฉากสร้างเป็นกรอบให้กับวัตถุหลัก
พื้นที่ว่าง (Negative Space) การใช้พื้นที่ว่างรอบๆ วัตถุหลัก เพื่อให้วัตถุหลักดูเด่นขึ้น

วางตำแหน่งของวัตถุหลังอยู่ในจุดตัด

ใช้เส้นถนนเป็นเส้นนำสายตาไปสู่จุดที่เราต้องการนำเสนอในภาพ (ในภาพนี้คือยอดเขาสูง)

ใช้ต้นไม้เป็นกรอบให้กับภาพถ่าย
ทำความเข้าใจเรื่องแสง (Light)
แสง คือ หัวใจของการถ่ายภาพ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าวาดภาพด้วยแสง หากไม่มีแสงก็ไม่สามารถทำให้เกิดภาพ ผมอยากให้นึกการวางวัตถุไว้ในห้องมืดที่ไม่มีแสงครับ ถ้าถ่ายภาพมาก็จะได้ภาพมืดดำ หากเราต้องการให้มีภาพของวัตถุนั้นๆ เราจำเป็นที่จะต้องเพิ่มแสงเข้าไป เพื่อให้แสงกระทบวัตถุแล้วเข้าไปบันทึกลงบนเซ็นเซอร์ได้ และหากจะทำให้สวยขึ้น คงต้องจินตนาการทิศทางของแสง แล้วลองส่องเข้าไปที่วัตถุในทิศทางที่แตกต่างกัน ใช้คุณภาพแสงที่ต่างกันดูครับ มันจะทำให้เราเข้าใจมิติภาพที่เกิดจากแสงที่มาจากทิศทางที่ต่างกันได้มากขึ้นครับ แสงที่ดีจะทำให้ภาพดูมีมิติและอารมณ์ที่แตกต่างกัน ความเข้าใจเรื่องแสงอาจจะมี 3 ข้อหลักๆ ที่ควรทำความเข้าใจครับ

แสงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

แสงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก
ทิศทางของแสง : แสงหน้า (หน้าตรง), แสงข้าง (ให้มิติ), แสงหลัง (สร้าง Silhouette หรือ แสงริมไลท์นั่นเอง)
คุณภาพของแสง : แสงนุ่มนวล (Soft Light – แสงเช้า, แสงเย็น, แสงใต้ร่มเงา) และแสงแข็ง (Hard Light – แสงแดดจัดเที่ยงวัน)
ช่วงเวลาของแสง : “Golden Hour” (ชั่วโมงทองหลังพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนพระอาทิตย์ตก) และ “Blue Hour” (ชั่วโมงสีน้ำเงินหลังพระอาทิตย์ตกและก่อนพระอาทิตย์ขึ้น) มักให้แสงที่สวยงามเป็นพิเศษ

การโฟกัสภาพ (Focusing)
ระบบโฟกัสของกล้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายภาพ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดและวัตถุที่เราต้องการสื่อสารมีความโดดเด่น ระบบนี้จะทำงานร่วมกันระหว่างตัวกล้องและเลนส์เพื่อปรับระยะห่างของเลนส์ให้แสงจากวัตถุที่เราต้องการโฟกัสรวมกันเป็นจุดบนเซ็นเซอร์รับภาพอย่างแม่นยำ
การโฟกัสที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ถึงมากที่สุดในการถ่ายภาพ เพื่อให้วัตถุหลักมีความคมชัด การเลือกจุดโฟกัส, โหมดการโฟกัส จึงเป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจและควรเรียนรู้ว่าโฟกัสแต่ละแบบใช้งานแตกต่างกัน
ประเภทของระบบโฟกัสหลักๆมีด้วยกัน 2 แบบ คือ Autofocus (AF) กับ Manual Focus (MF)
ออโต้โฟกัส (Autofocus – AF) เป็นฟังก์ชันที่กล้องจะปรับโฟกัสบนวัตถุให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีหลายวิธีและแตกต่างกันไปตามรุ่นของกล้อง ซึ่งมี 3 ระบบหลัก คือ
- Phase Detection AF (ตรวจจับเฟส) เป็นระบบที่เซ็นเซอร์ตรวจจับจะวัดระยะห่างระหว่างเป้าหมายกับกล้องได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว แต่ก็มีข้อจำกัดคือ อาจมีปัญหาในสภาวะแสงน้อย หรือกับวัตถุที่มีคอนทราสต์ต่ำ
- Contrast Detection AF (ตรวจจับคอนทราสต์) เป็นระบบที่กล้องจะปรับโฟกัสโดยการวิเคราะห์ความคมชัด (คอนทราสต์) ของภาพที่ผ่านเข้ามาทางเซ็นเซอร์รับภาพ โดยกล้องจะเลื่อนเลนส์ไปมาเพื่อหาจุดที่ภาพมีความคมชัดและมีคอนทราสต์สูงสุด ณ จุดนั้น ข้อดีคือแม่นยำสูงในสภาวะแสงปกติ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น โฟกัสช้ากว่า Phase Detection AF โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อย หรือกับวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็ว
- Hybrid AF เป็นการผสมผสานระหว่าง Phase Detection AF และ Contrast Detection AF โดยมักจะใช้ Phase Detection AF ในการหาโฟกัสเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว และใช้ Contrast Detection AF ในการปรับจูนให้แม่นยำ
โฟกัสแบบแมนนวล (Manual Focus – MF) ผู้ถ่ายภาพจะทำการปรับโฟกัสด้วยตนเองโดยการหมุนวงแหวนโฟกัสบนเลนส์ ผู้ถ่ายจะมองผ่านช่องมองภาพหรือหน้าจอ Live View เพื่อปรับให้ภาพคมชัดด้วยตาเปล่า แม้จะดูเหมือนยากและอาจจะไม่ชัวร์เหมือน AF แต่ก็มีข้อดีอยู่บ้าง เช่น ให้การควบคุมที่แม่นยำที่สุดในบางสถานการณ์ อย่างการถ่ายภาพมาโคร, การถ่ายภาพในที่แสงน้อยมากๆ, หรือเมื่อต้องการสร้างสรรค์เอฟเฟกต์เฉพาะ และมีข้อจำกัดหลักเลยคือใช้เวลาในการโฟกัสมากกว่า ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความคุ้นเคย

AF Modes โหมดการทำงานของออโต้โฟกัส
กล้องส่วนใหญ่จะมีโหมด AF ให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ แต่มือใหม่อาจจะยังไม่รู้ว่าใช้งานอย่างไร เช่น
AF-S (Single-shot AF/One-shot AF) เหมาะสำหรับโฟกัสวัตถุที่อยู่นิ่งๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ทิวทัศน์ ภาพบุคคล การทำงานคือ กล้องจะโฟกัสเพียงครั้งเดียวเมื่อกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง และจะล็อกโฟกัสไว้ที่ตำแหน่งนั้น
AF-C (Continuous AF/AI Servo AF) เหมาะสำหรับวัตถุที่มีการเคลื่อนไหว เช่น การแข่งขันกีฬา สัตว์ป่า หรือเด็กวิ่ง การทำงานของมันคือ กล้องจะโฟกัสอย่างต่อเนื่องและปรับโฟกัสตามวัตถุที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาที่กดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ครึ่งหนึ่ง
AF-A (Auto-switching AF/AI Focus AF) ระบบนี้เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของวัตถุได้ โดยการทำงานของมันคือ กล้องจะสลับโหมดระหว่าง AF-S และ AF-C โดยอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหวของวัตถุนั่นเอง
องค์ประกอบสำคัญของระบบโฟกัส
จุดโฟกัส (AF Points) คือบริเวณที่กล้องใช้ในการตรวจจับและวัดความคมชัด กล้องสมัยใหม่มีจุดโฟกัสหลายจุด ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกจุดโฟกัสที่ต้องการ หรือให้กล้องเลือกให้อัตโนมัติได้
ระบบติดตามวัตถุ (Tracking AF) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้กล้องสามารถติดตามวัตถุที่เคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าวัตถุจะเคลื่อนที่ออกจากจุดโฟกัสที่เลือกไว้ก็ตาม

การตรวจจับใบหน้า/ดวงตา (Face/Eye Detection AF) กล้องบางรุ่นโดยเฉพาะในกล้อง Mirrorless จะสามารถตรวจจับใบหน้าและดวงตาของบุคคลได้โดยอัตโนมัติ และจะโฟกัสไปที่บริเวณนั้น ทำให้ได้ภาพบุคคลที่คมชัด
การทำความเข้าใจระบบโฟกัสของกล้องและการเลือกใช้โหมดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ภาพที่คมชัดตามที่ต้องการ
การปรับสมดุลแสงขาว (White Balance)
การปรับสมดุลแสงขาวจะช่วยให้สีในภาพดูเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามความเป็นจริง หรือ สร้างสรรค์ภาพให้เกินจริง หรือเสริมให้สีในภาพเป็นไปในแบบที่เราต้องการได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบ ผู้ใช้ควรเรียนรู้เรื่องสี และเรียนรู้การตั้งค่า White Balance แบบต่างๆ (เช่น Auto WB, Daylight, Cloudy, Shade, Tungsten, Fluorescent, Custom WB) เพื่อให้ได้สีที่ต้องการภายใต้สภาพแสงที่แตกต่างกันด้วย

ถ่ายภาพโดยปรับตั้งค่าไวท์บาลานซ์ให้ได้สีที่ตรงตามธรรมชาติมาก่อน แล้วมาปรับแต่งในโปรแกรมทีหลัง
สิ่งที่ผมมักแนะนำอยู่เสมอคือการพิจารณาการถ่ายภาพโดยตั้งค่าไวท์บาลานซ์ให้ได้สีที่ถูกต้องที่สุด แล้วค่อยมาปรับสีอย่างสร้างสรรค์ตามที่เราต้องการในโปรแกรมตกแต่งภาพในภายหลัง ซึ่ง มันจะช่วยให้เราปรับตั้งค่าได้ง่ายกว่าการถ่ายมาแบบผิด แล้วค่อยมาแก้สีทีหลังนั่นเอง

ขอบคุณภาพ : danfador from Pixabay
การฝึกฝนและการถ่ายภาพบ่อยๆ
แน่นอนครับว่าแทบทุกอาชีพ การฝึกฝนให้ชำนาญนับเป็นสิ่งสำคัญ การถ่ายภาพก็เช่นกันครับ การฝึกฝนบ่อยๆ ไม่เพียงแต่ทำให้เราชำนาญขึ้น หากแต่มันช่วยให้เราได้เรียนรู้และได้ทดลองสร้างสรรค์การถ่ายภาพแบบใหม่ๆ ได้ด้วยเช่นกัน ทฤษฎีก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่การลงมือปฏิบัติก็สำคัญเพราะมันจะยิ่งช่วยให้คุณได้เรียนรู้จากประสบการณ์และข้อผิดพลาดของคุณมากขึ้น ลองถ่ายภาพในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน สภาพแสงที่แตกต่างกัน และลองใช้เทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ

ขอบคุณภาพ : alexx ego from Pixabay
การเรียนรู้การตกแต่งภาพเบื้องต้น (Basic Photo Editing)
การตกแต่งภาพเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล โปรแกรมอย่าง Adobe Lightroom, Photoshop, Snapseed (บนมือถือ) สามารถช่วยปรับปรุงภาพของคุณให้ดียิ่งขึ้นได้ เช่น การปรับแสง, สี, ความคมชัด, และการ Crop ภาพ แต่สิ่งสำคัญคือการถ่ายภาพให้ดีที่สุดตั้งแต่ต้น เพื่อลดการพึ่งพาการตกแต่งมากเกินไปจะช่วยให้การทำงานเราง่ายและสะดวกมากขึ้นครับ

ขอบคุณภาพ : Tasos_Lekkas from Pixabay
การศึกษาแรงบันดาลใจและหาแนวทางของตัวเอง
ดูภาพถ่ายของช่างภาพคนอื่นๆ ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เพื่อหาแรงบันดาลใจ ศึกษาว่าพวกเขาถ่ายภาพอย่างไร, จัดองค์ประกอบอย่างไร, และใช้แสงอย่างไร อย่าลืมลองผิดลองถูกและค้นหาสไตล์การถ่ายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง การถ่ายภาพควรเป็นกระบวนการที่สนุกสนานและสร้างสรรค์ครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นเส้นทางนักถ่ายภาพของคุณนะครับ ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพครับ
Leave feedback about this