PR NEWS

แคนนอน เปิดตัวเรือธงใหม่ สุดยอดกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรม EOS R5 และ EOS R6

แคนนอน เปิดตัวเรือธงใหม่ สุดยอดกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรม EOS R5 และ EOS R6 พร้อมเลนส์ RF ใหม่ 4 รุ่น และ Extender 2 รุ่น พร้อมบุกตลาดกล้องในทุกเซกเมนต์

กรุงเทพฯ – 9 กรกฎาคม 2563 แคนนอน ยกทัพผลิตภัณฑ์ล่าสุดบุกตลาดกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรม เปิดตัวกล้องใหม่พร้อมกันถึง 2 รุ่น คือ EOS R5 และ EOS R6 มาพร้อมฟังก์ชันการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงสุดถึง 8K ระบบออโต้โฟกัสที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบป้องกันภาพสั่นในตัวกล้อง ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 20 ภาพต่อวินาที พร้อมด้วยเลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM เลนส์ไพรม์ 3 รุ่น คือ RF85mm f/2 IS STM, RF600mm f/11 IS STM และ RF800mm f/11 IS STM รวมถึงอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ Extender RF 1.4x และ Extender RF 2x เจาะกลุ่มนักถ่ายภาพสมัครเล่นระดับจริงจังไปจนถึงระดับมืออาชีพ

 

กล้อง EOS R5 มาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS แบบฟูลเฟรม ความละเอียด 45 ล้านพิกเซล ใกล้เคียงกล้องมีเดียมฟอร์แมต ใช้ได้ทั้งการถ่ายภาพเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทิวทัศน์ ไปจนถึงภาพสัตว์ป่า ค่าความไวแสงมาตรฐานสูงสุดที่ ISO51200 ขยายได้ถึง ISO102400 ส่วนกล้อง EOS R6 ใช้เซ็นเซอร์ฟูลเฟรมความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ความไวแสงมาตรฐานสูงสุดที่ ISO10240 ขยายได้ถึง ISO204800 ทั้งสองรุ่นใช้ชิปประมวลผลภาพ DIGIC X ที่จัดการสัญญาณรบกวนภาพได้ดีมากขึ้น ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สูงสุด 20 ภาพต่อวินาที และด้วยชัตเตอร์แมคคานิคสูงสุด12 ภาพต่อวินาที มีระบบออโต้โฟกัสใหม่ Dual Pixel CMOS AF II ที่ทำให้เซ็นเซอร์อ่านภาพได้เร็วขึ้น ทำงานร่วมกับชิปประมวลผลภาพ DIGIC X เพิ่มประสิทธิภาพในระบบออโต้โฟกัส และเป็นครั้งแรกของกล้องตระกูล EOS ที่พื้นที่ออโต้โฟกัสสามารถครอบคลุมพื้นที่ 100% ของเซ็นเซอร์ภาพ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน จึงสามารถโฟกัสได้ง่ายแม้ที่ขอบภาพ

กล้อง EOS R5 และ EOS R6 มีจุดโฟกัสอัตโนมัติ 1,053 จุด มากกว่า EOS R ถึง 7 เท่า ส่วนจุดโฟกัสแบบแมนนวลใน EOS R5 มี 5,940 จุด และ EOS R6 มี 6,072 จุด ประสิทธิภาพการออโต้โฟกัสจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งสองรุ่นมีโหมด AF Priority สำหรับการเลือกติดตามโฟกัสคนหรือสัตว์ สามารถติดตามได้ทั้งร่างกาย ศีรษะ และดวงตา สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงจำกัด EOS R5 โฟกัสได้ในที่แสงน้อยถึง EV -6 ส่วน EOS R6 ทำได้ถึง EV -6.5 ซึ่งเป็นระดับที่มืดจนตาคนแทบจะมองไม่เห็น อีกทั้งมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ 5 แกนในตัวกล้อง (In-Body IS) ซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ RF ที่มีระบบกันสั่นไหวแบบออปติคอลหรือไม่มีก็ตาม จะช่วยความเบลอที่เกิดจากการสั่นของกล้องได้เท่ากับการลดความเร็วชัตเตอร์ถึง 8 สต็อป และช่วยลดการสั่นได้ทุกช่วงซูมตั้งแต่มุมกว้างไปจนถึงเทเลโฟโต้

ด้วยชิปประมวลผลภาพ DIGIC X และการ์ดหน่วยความจำ CFexpress ทำให้กล้อง EOS R5 สามารถถ่ายวิดีโอระดับ 8K/30 fps จากการอ่านสัญญาณจากพื้นที่ทั้งหมดของเซ็นเซอร์ มีความคมชัดสูง สะดวกในการนำไปตัดต่อภายหลัง รวมถึงสามารถถ่ายวิดีโอ 8K RAW โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม นอกจากนี้ยังถ่ายวิดีโอสโลว์โมชัน 4K/120 fps ได้ บันทึกวิดีโอได้หลายฟอร์แมต เช่น RAW, H.265 HEVC, H.264 MP4 และบีบอัดเป็นฟอร์แมต ALL-I หรือ IPB ได้ด้วย ส่วน EOS R6 ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ถึง 60 เฟรมต่อวินาที และถ่ายสโลว์โมชัน Full HD/ 120 fps โดยไม่ต้องครอป เหมาะสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทั้งสองรุ่นมีช่องต่อ HDMI ได้ถึง 4K/60 fps 10-bit 4:2:2 และมีฟีเจอร์ PQ และ Canon Log สำหรับการถ่ายภาพ HDR

 

สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย EOS R5 รองรับการเชื่อมต่อ wireless LAN 5GHz และ 2.4GHz โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม รวมถึงรองรับการถ่ายโอนข้อมูลแบบ FTP และ FTPS และสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ส่งข้อมูล WFT-R10 ส่วน EOS R6 รองรับ wireless LAN 2.4GHz และการถ่ายโอนข้อมูลแบบ FTP และ FTPS ทั้งสองรุ่นรองรับ Bluetooth Low Energy (BLE) และเป็นกล้องรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ด้วย Image.canon ผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อส่งไฟล์ภาพนิ่งและวิดีโอไปเก็บบนคลาวด์ได้ถึง 30 วันโดยไม่จำกัดขนาดไฟล์ หรือส่งไปเก็บบนแพลตฟอร์มคลาวด์อื่นๆ เช่น Google Photos, Google Drive และ Adobe Creative Cloud

กล้องทั้งสองรุ่นมีขนาดกะทัดรัด ตัวกล้องทำจากแมกนีเซียมอัลลอยพร้อมซีลกันหยดน้ำและฝุ่น น้ำหนักเบา ด้านบนตัวกล้อง EOS R5 มีจอแอลซีดี ส่วน EOS R6 มีแป้นปรับโหมด และทั้งสองรุ่นมีแป้นปุ่ม Multi-Controller และ Quick Control เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเลือกจุดโฟกัสและปรับตั้งค่าต่างๆ มีจอแอลซีดีทัชสกรีนปรับหมุนได้ที่ใช้ในการเลือกจุดโฟกัสและเมนูการใช้งานต่างๆ

EOS R5 มีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ขนาด 0.5 นิ้ว ความละเอียด 5.76 ล้านจุด ส่วน EOS R6 มีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ความละเอียด 3.69 จุด ความเร็ว 119.88/59.94 fps ชัตเตอร์ของ EOS R5 ใช้ได้ถึง 500,000 ครั้ง ส่วนชัตเตอร์ของ EOS R6 ใช้ได้ถึง 300,000 ครั้ง ทั้งสองรุ่นสามารถตั้งค่าให้ปิดม่านชัตเตอร์เมื่อปิดการทำงานของกล้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันฝุ่นเข้าถึงเซ็นเซอร์ขณะเปลี่ยนเลนส์ ใช้ร่วมกับแบตเตอรี LP-E6NH ที่มีความจุมากขึ้นกว่า LP-E6N 15% หรือใช้กับแบตเตอรี LP-E6N และ LP-E6 ก็ได้

EOS R5 มีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ 2 ช่อง สำหรับการ์ด CFexpress และการ์ด SD การ์ด CFexpress รองรับการถ่ายโอนภาพและวิดีโอด้วยความเร็วสูง การถ่ายภาพต่อเนื่อง และการถ่ายวิดีโอ 8K RAW ส่วน EOS R6 มีช่องใส่การ์ด SD 2 ช่อง ทั้งสองรุ่นสามารถใช้ร่วมกับแบตเตอรีกริป BG-R10 (จำหน่ายแยก) ที่มี Multi-controller สำหรับการถ่ายภาพแนวตั้ง เพิ่มความสะดวกในการถ่ายภาพบุคคล พร้อมป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ สามารถใส่แบตเตอรีได้ 2 อัน (LP-E6NH, LP-E6N, หรือ LP-E6)

 

พร้อมกันนี้แคนนอนยังได้เปิดตัว RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM เลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้รุ่นแรกสำหรับกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมตระกูล EOS R ด้วยทางยาวโฟกัสถึง 500 มม. พัฒนามาจากเลนส์ยอดนิยมรุ่น EF100-400mm f/4.5-5.6L IS II USM ที่มีช่วงซูมกว้างและใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่การถ่ายภาพกีฬา สัตว์ป่า ธรรมชาติ ไปจนถึงถ่ายภาพข่าว แต่ RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM มีน้ำหนักเบากว่า 15% และทางยาวโฟกัสยาวกว่าถึง 100 มม. พร้อมกำลังขยาย 5 เท่า จึงครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่การซูมระยะกลาง (100mm) ไปจนถึงการซูมระยะไกล (500 มม.)

RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM ใช้ชิ้นเลนส์ UD 6 ชิ้น และเลนส์ Super UD 1 ชิ้นที่จัดเรียงอยู่ใกล้กับระนาบโฟกัส ทุกชิ้นเลนส์เคลือบด้วย ASC (Air Sphere Coating) ลดการเกิดภาพหลอก (ghosting) แก้ไขความคลาดเคลื่อนของภาพ และให้ความคมชัดจนถึงขอบภาพตลอดทั้งช่วงทางยาวโฟกัส มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล สูงสุด 5 สต็อป และมีสวิตช์ปรับโหมดระบบกันสั่นให้เลือก 3 โหมด สำหรับการถ่ายภาพสิ่งที่อยู่นิ่ง การถ่ายภาพที่มีการแพนกล้อง และการถ่ายภาพการเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอน เช่น การแข่งขันกีฬาต่างๆ เมื่อใช้เลนส์นี้กับกล้อง EOS R5 และ EOS R6 ที่มีระบบกันสั่นแบบ 5 แกนในตัวกล้อง จะช่วยลดการสั่นของภาพได้ถึง 6 สต็อปที่ทางยาวโฟกัส 500 มม. ผู้ใช้จึงสามารถถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำในที่แสงน้อยเพื่อให้ได้ภาพที่สว่างขึ้น

RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM ยังสามารถโฟกัสได้ที่ระยะเพียง 0.9 เมตรจากตัวแบบ พร้อมกำลังขยาย 0.33 เท่า ที่ทางยาวโฟกัส 500 มม. (ระยะโฟกัส 1.2 เมตร) จึงถ่ายภาพโคลสอัพได้อย่างง่ายดาย มอเตอร์ USM (Nano Ultrasonic Motors) 2 ตัว ช่วยให้การโฟกัสอัตโนมัติเร็วขึ้น ทำงานร่วมกับ Dual Pixel CMOS AF ในกล้องตระกูล EOS R เพื่อการโฟกัสภาพนิ่งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ และการถ่ายวิดีโอได้อย่างราบรื่น ทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน และให้ความรวดเร็วในการทำงาน โครงสร้างเลนส์ป้องกันฝุ่นและหยดน้ำ เคลือบสีขาวเพื่อป้องกันความร้อนและคงคุณภาพของภาพถ่ายแม้ถ่ายภาพกลางแจ้ง

 

แคนนอนยังจัดเต็มด้วยเลนส์ไพรม์ใหม่อีก 3 รุ่น ได้แก่ RF85mm f/2 IS STM, RF600mm f/11 IS STM และ RF800mm f/11 IS STM โดย RF85mm f/2 IS STM เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลและมาโคร ส่วน RF600mm f/11 IS STM และ RF800mm f/11 IS STM เป็นเลนส์รุ่นประหยัดสำหรับการซูมระยะไกลด้วยทางยาวโฟกัสถึง 600 มม. และ 800 มม. ตามลำดับ

 

RF600mm f/11 IS STM และ RF800mm f/11 IS STM ลบภาพจำที่ว่าเลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้มีราคาแพง ขนาดใหญ่และหนัก โดยมาพร้อมราคาที่เข้าถึงได้ ขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา เพื่อช่วยในการพัฒนาฝีมือของนักถ่ายภาพรุ่นใหม่ ทั้งสองรุ่นทำงานร่วมกับชิปประมวลผลภาพ DIGIC X และเซ็นเซอร์ CMOS ในกล้องตระกูล EOS R เพื่อให้ภาพถ่ายคุณภาพสูงแม้ใช้ ISO สูง ด้านหน้าเลนส์ใช้ชิ้นเลนส์ DO (Diffractive Optical) เพียงชิ้นเดียวแทนการใช้ชิ้นเลนส์หลายชิ้น ช่วยให้เลนส์มีน้ำหนักเบาลง ให้ภาพถ่ายคุณภาพสูง และลดความคลาดเคลื่อนของสี มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล สูงสุด 5 สต็อปในรุ่น RF600mm f/11 IS STM และ 4 สต็อปในรุ่น RF800mm f/11 IS STM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโฟกัส

โครงสร้างหลักของเลนส์ทำจากพลาสติกทนทานสูงแต่น้ำหนักเบา ส่วนเมาท์เลนส์และวงแหวนขาตั้งทำจากโลหะเพื่อความแข็งแรงทนทาน ค่ารูรับแสงคงที่ที่ f/11 ในเลนส์ทั้ง 2 รุ่นยังช่วยให้เลนส์เบาลง จึงถือจับได้สะดวก

 

เลนส์ทั้งสองรุ่นสามารถยืดออกขณะถ่ายภาพและย่อให้สั้นลงด้วยการหมุนวงแหวนล็อคบนเมาท์เลนส์ เพื่อความสะดวกในการพกพาโดยไม่ต้องใช้กระเป๋าใส่เลนส์โดยเฉพาะ โดย RF600mm f/11 IS STM เบากว่า EF600mm f/4L IS III USM ถึง 30% ส่วน RF800mm f/11 IS STM เบากว่า EF800mm f/5.6L IS USM ถึง 28% และเมื่อย่อขนาดเลนส์แล้ว RF600mm f/11 IS STM จะสั้นกว่า EF600mm f/4L IS III USM ถึง 45% และ RF800mm f/11 IS STM จะสั้นกว่า EF800mm f/5.6L IS USM ถึง 61%

ส่วน RF85mm f/2 IS STM มาพร้อมทางยาวโฟกัส 85 มม. ที่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล รูรับแสงขนาดใหญ่ที่ระดับ f/2 ให้โบเก้ที่สวยงามและสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อย พร้อมฟังก์ชันการถ่ายภาพมาโครและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบไฮบริด ระยะถ่ายภาพต่ำสุดที่ 0.35 เมตร และกำลังขยาย 0.5 เท่า RF85mm f/2 IS STM จึงเหมาะสำหรับช่างภาพงานแต่งงานที่ต้องการเลนส์สำหรับถ่ายภาพบุคคลรวมไปถึงรายละเอียดของแหวนหรือการตกแต่งที่มีขนาดเล็ก และเมื่อใช้ร่วมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวในกล้อง EOS R5 จะลดการสั่นได้ถึง 8 สต็อป จึงเพิ่มความคล่องตัวในการถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง

 

นอกจากนี้ แคนนอนยังเปิดตัวอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ใหม่ 2 รุ่น คือ Extender RF 1.4x และ Extender RF 2x ที่ใช้ร่วมกับเลนส์ RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM, RF600mm f/11 IS STM และ RF800mm f/11 IS STM ช่วยขยายทางยาวโฟกัสได้อีก 1.4 เท่า และ 2 เท่า ตามลำดับ โดยไม่ลดคุณภาพของภาพถ่าย

อุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดกะทัดรัดและให้ภาพถ่ายคุณภาพสูง การใช้เมาท์ RF ยังช่วยลดความยาวของอุปกรณ์ลงถึง 25% เมื่อเทียบกับ Extender EF 1.4xIII และ Extender EF 2xIII อีกทั้งใช้วัสดุแก้วที่ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของสี ชิ้นเลนส์เคลือบพิเศษติดกัน 3 ชิ้น ช่วยลดการสัมผัสอากาศเพื่อลดการเกิดภาพหลอก (ghosting) ทั้ง 2 รุ่นเคลือบสีขาวป้องกันความร้อน มีไมโครโปรเซสเซอร์ในตัวที่ช่วยในสื่อสารระหว่างเลนส์กับกล้องเพื่อการโฟกัสที่แม่นยำ โครงสร้างทนต่อแรงสั่นและการกระแทก พร้อมป้องกันฝุ่นและหยดน้ำ เพื่อความทนทานและไว้ใจได้ในการใช้งาน

สามารถดูข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

กำหนดประกาศราคาอย่างเป็นทางการและการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดดังนี้
EOS R5 Body ประมาณกลางเดือนกันยายน
EOS R6 Body ประมาณกลางเดือนกันยายน
RF600mm f/11 IS STM ประมาณกลางเดือนกันยายน
RF800mm f/11 STM ประมาณกลางเดือนกันยายน
Extender RF1.4x ประมาณกลางเดือนกันยายน
Extender RF2x ประมาณกลางเดือนกันยายน
WFT-R10 (for EOS R5) ประมาณกลางเดือนกันยายน
Battery Grip BG-R10 (สำหรับ EOS R5 และ R6) ประมาณกลางเดือนกันยายน
Battery pack LP-E6NH (สำหรับ EOS R5 และ R6) ประมาณกลางเดือนกันยายน
RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM ประมาณเดือนตุลาคม

9 กรกฎาคม 63