หลายครั้งที่ได้ฟังปัญหาหรือข้อสงสัยจากช่างภาพมือใหม่ในการหัดถ่ายภาพ และ 8 การกระทำในการถ่ายภาพต่อไปนี้ ที่ผมเห็นว่าไม่ควรรู้สึกผิด หากช่างภาพมือใหม่หรือแม้กระทั่ง Semi Pro ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในการถ่ายภาพ ถึงแม้จะเกิดจากการตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ให้แสงที่ตัวผีเสื้อและใบหน้าของตะกองพอดี โดยไม่ต้องดึงรายละเอียดหรือแสงในส่วนมืดเพิ่มขึ้น
1. ให้แสงที่ตัวแบบพอดี แสงรอบข้างก็ช่างมันไปบ้างก็ได้
หลายครั้ง หลายคน หลายภาพ ที่ผมได้สัมผัสมา หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม ดูเหมือนบางภาพจะยังมีการยึดติดกับ Highlight shadow อยู่ ส่วนที่เป็น highlight จะต้องมีรายละเอียด ส่วนที่เป็น shadow จะต้องมีเช่นกัน
ให้แสงที่ตัวแบบพอดี แล้วปล่อยส่วนอื่นให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ภาพที่ปล่อยไปตามสภาพแสงจริง โดยที่เราโฟกัสแสงให้ตรง พอดี อยู่เฉพาะตัวแบบหลักของภาพ โดยที่เราไม่ต้องสนใจเลยว่าส่วนที่โอเวอร์ หรืออันเดอร์จะมีรายละเอียดหรือไม่ นั้นมันอาจจะดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบก็ได้ครับ มันทำให้เรารู้สึกได้รับอารมณ์จริงๆ จากภาพนั้นมากกว่าก็ได้ และอาจจะช่วยให้ตัวแบบของเราโดดเด่นขึ้นด้วย
ใช้ ISO Auto เพื่อให้เราสามารถใช้สปีดชัตเตอร์ที่สูงขึ้นเพื่อหยุดภาพแอคชั่นได้
2. ใช้ Auto ISO ก็ได้นะ
แน่นอนว่าการใช้ ISO ที่เหมาะสมจะทำให้เราได้ภาพที่ดี มีคุณภาพ สัญญาณรบกวนในภาพไม่ทำให้ภาพเสีย แต่ในบางครั้งการใช้ Auto ISO ก็ช่วยให้เราได้ภาพที่เราต้องการได้ เช่น การถ่ายภาพแอคชั่นในสภาพแสงน้อยที่ต้องการภาพที่หยุดการเคลื่อนไหว โดยการเพิ่ม Shutter speed ให้สูงขึ้น การเปิด Auto ISO จึงช่วยให้เราสามารถทำแบบนั้นได้
บางครั้งก็ต้องยอมใช้ Auto ISO หากจำเป็นต้องถ่ายภาพนั้นจริงๆ อย่างภาพนี้เป็นการหาปลาด้วยการทอดแหในตอนค่ำ ซึ่งผิดปรกติของการหาปลาด้วยวิธีนี้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากที่จะเก็บภาพนี้ไว้นั่นเอง
และจะว่าไปแล้ว การมี Noise ติดมาบ้างก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง สำหรับผมมันไม่ได้เลวร้ายอะไร หากต้องแลกกับการได้ภาพแอคชั่นตามที่เราต้องการ หรือหากจะนำภาพไปแก้ในโปรแกรมตกแต่งภาพภายหลัง ผมก็ยังเชื่อว่ากล้องสมัยใหม่มีความสามารถมากพอที่จะช่วยให้เราใช้ ISO สูงๆ ได้ แต่วิธีการนี้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ หากต้องใช้กับงานที่ค่อนข้างซีเรียส โดยเฉพาะกับงานที่เป็นงานธุรกิจครับ
วางคอมโพสแบบไม่ได้ตั้งใจ เผื่อภาพจะดีแปลกและแตกต่างบ้าง
3. ถ่ายโดยจัด Composition ใหม่ๆ จะเป็นไรไป
หลายคนคงรู้จักเรื่องของการจัดคอมโพสฯ หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกฏสามส่วนหรือจุดตัดเก้าช่อง การใช้เส้นนำสายตา การใช้เฟรมภาพ การจัดวางแบบก้นหอย และอีกหลายแบบ
วางตำแหน่งตัวแบบแปลกๆ อาจจะบอกเล่าเรื่องราวได้ดีขึ้น (ขอบคุณภาพจาก Pixabay : Mollyroselee)
และแม้ว่านั่นจะเป็นการตกผลึกความรู้จากรุ่นสู่รุ่นจนมาเป็นตำราให้เราได้ใช้กัน แต่การถ่ายโดยการวางคอมโพสฯ แบบใหม่ๆ ดูบ้างมันก็อาจจะทำให้ภาพถ่ายของเราดูน่าสนใจขึ้นได้ หากมีเรื่องราวหรือจุดสนใจที่หนักแน่นมากพอที่จะให้คนดูหันมามองได้
ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นการใช้อุกรณ์ต่างแบรนด์เพื่องานที่ต่างกัน
4. ใช้อุปกรณ์หลากหลายแบรนด์เพื่อให้ได้ภาพตามวัตถุประสงค์
อ่านหัวข้อแล้วอย่าพึ่งดราม่ากันนะครับ นี่เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่จงรักภักดีต่อแบรนด์อุปกรณ์ที่ตัวเองใช้อยู่มากๆ แต่จากประสบการณ์ที่เคยสัมผัสอุปกรณ์หลายๆ แบรนด์ ผมเชื่อเหลือเกินว่าอุปกรณ์แต่ละแบรนด์มีข้อดีเฉพาะเป็นของตัวเอง และโดยส่วนตัวเอง หากจะทำงานอะไรสักอย่างผมมักจะเลือกอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์กับงานนั้นๆ เป็นงานๆ มากกว่าการใช้แบรนด์เดียวไปเลย แต่!!!
ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นการใช้อุกรณ์ต่างแบรนด์เพื่องานที่ต่างกัน
ในบางกรณีก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เช่น การถ่ายฟุตเทจวิดีโอ หากใช้ต่างแบรนด์ก็อาจเป็นปัญหาในขั้นตอน Post Production ได้ เช่น กรณีสีที่ไม่ตรงกัน หรือการตั้งค่าบางอย่างที่ทำได้ไม่เหมือนกัน และอาจร่วมไปถึงการไม่คุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์ด้วย
เหลือรายละเอียดฉากหลังไว้ เพื่อให้รู้ว่าภาพนี้ถ่ายจากที่ไหน
5. ใช่ F แคบ ถ่ายคนก็ดีนะ
หากพูดถึงการถ่ายภาพพอร์ตเทรต สิ่งแรกที่ลอยมาในหัวโดยอัตโนมัติเลยก็คงเป็นเรื่องของการละลายฉากหลัง เลนส์ไวแสงที่ละลายฉากหลัง โบเก้ดวงสวยๆ ภาพใสๆ เนียนๆ แต่หากการถ่ายภาพด้วยค่า F แคบมาละ จะเป็นอย่างไร?
ไม่จำเป็นต้องละลายฉากหลัก หากเราอยากให้ภาพมีเรื่องราวมากขึ้น อย่างภาพนี้เป็นการจงใจให้ฉากหลังยังเหลือโครงร่างให้เห็นว่าเป็นพระพุทธรูป เพราะภาพตัวแบบหลักพูดถึงการสักการะหรือการนำดอกไม้มาไหว้พระนั่นเอง
จริงๆ แล้วไม่มีกฏตายตัวครับ และเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการถ่ายพื้นหลังชัดมาก็ได้ เพราะภาพแนวนี้มันมีเสน่ห์ในตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดที่เป็นที่จดจำได้ว่า ภาพนี้ถ่ายที่ไหน และพื้นหลังบางที่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนต้องละลายมันหายไป หากแต่เราต้องใช้มุมมองที่เรามีจัดการกับมันว่า ข้างหลังตรงไหนสวยงาม และเหมาะที่จะติดเข้ามาในภาพถ่ายของเราบ้างแค่นั้นเองครับ
เก็บภาพไว้ในเมมโมรี่ก่อน เพราะเราอาจจะจำเป็นต้องใช้ภาพในภายหลักก็ได้
6. ถ่ายๆ ไปก่อน ยังไม่ต้องลบภาพหรอก
นับเป็นความกังวลอย่างหนึ่งของคนถ่ายภาพที่มีความกังวลว่าเมมฯ จะเต็ม หรือไม่อยากให้ภาพที่เราคิดว่าไม่สวยติดอยู่ในเมมฯ เพราะขี้เกียจจัดการลบภาพในภายหลัง หรือไม่อยากให้ภาพที่เราคิดว่าไม่ดี ติดเข้าไปฮาร์ดดิสให้เปลืองพื้นที่ แต่ผมอยากจะแนะนำว่า เก็บไว้บ้างก็ดี เพราะทุกการบันทึกภาพคือการบันทึกเหตุการณ์ครับ หลายครั้งที่กลับมาดูภาพเก่าๆ แล้วภาพที่เราอยากจะลบทิ้งในวันนั้นมันนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ อย่างเวลาที่เราต้องการใช้ภาพเพื่อยืนยันข้อมูลอะไรบางอย่าง แม้ภาพนั้นจะไม่สวย แต่มันก็เป็นประโยชน์ในบางกรณี และในปัจจุบันฮาร์ดดิสที่ใช้เก็บข้อมูลมีราคาที่ถูกลง การจัดเก็บภาพจำนวนมากก็อาจจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป หรือถ้าหากไม่ต้องการที่จะเก็บภาพจำนวนมาก การลดเฟรมภาพต่อวินาทีเมื่อต้องถ่ายภาพแอคชั่นก็เป็นอีกวิธีที่ดี เลือกใช้จำนวนเฟรมที่เหมาะสมก็สามารถช่วยได้ครับ
ในมุมมหาชนที่ถ่ายในเวลาที่แตกต่างกันก็อาจทำให้เราได้ภาพต่างจากคนอื่น แม้จะเป็นเวลาที่แตกต่างกันไม่มาก เช่นภาพนี้ถ่ายหลังจากที่ช่วงเวลาของท้องฟ้าช่วงแสงทไวไลท์หายไปแล้ว ทำให้ได้ท้องฟ้าสีดำ แต่เราก็จะได้ภาพตึกที่เปิดไฟมากกว่าช่วงทไวไลท์ที่ยังไม่มืดนั่นเอง
7. ถ่ายมุมซ้ำกับคนอื่น
ข้อนี้นับเป็นหนึ่งในความอคติส่วนตัวของผมเองมาโดยตลอด คือผมมีความคิดว่า เมื่อไปถ่ายภาพตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภาพที่เราถ่ายมักจะมีให้เห็นอย่างเกลื่อนกลาดในโลกโซเชี่ยล ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายไปทำไม ในเมื่อเราสามารถดูความสวยงามจากภาพคนอื่นได้ หรือถ้าถ่ายไปก็ไปซ้ำกับคนอื่น มันดูไม่พิเศษเอาซะเลย แต่!!! ลองกลับมาฉุกคิดดีๆ เราจะพบว่าแม้จะเป็นสถานที่เดียวกัน หรือแม้แต่มุมเดียวกัน แต่มันก็ยังมีสิ่งที่ไม่เหมือนกันอยู่ คือ ช่วงเวลาครับ
ภาพเสาเฉลียง เชื่อว่าหลายคนเคยถ่ายภาพมุมนี้มาแล้ว แต่ด้วยเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้ได้ภาพที่อาจจะแตกต่างจากภาพคนอื่นได้ ซึ่งในภาพเป็นฤดูฝนที่หลายคนมักจะไม่ท่องเที่ยวในช่วงฤดูนี้ ภาพที่ได้จึงอาจจะมีภาพช่วงฤดูฝนน้อยมาก
ในหนึ่งสถานที่จะมีช่วงเวลาที่ให้ภาพที่ไม่เหมือนกันเลยก็มี เช่น ถ่ายภาพในยามเช้า กลางวัน เย็น ก็จะให้ภาพที่ต่างกัน หรือแม้กระทั่งฤดูก็ให้ภาพที่ต่างกันได้ ฤดูฝนก็ให้บรรยากาศภาพอีกแบบ ร้อน หนาว ก็ให้บรรยากาศอีกแบบ เพราะฉะนั้น เราไม่ควรรู้สึกผิดอะไรกับการถ่ายภาพกับสถานที่ หรือแม้กระทั่งป้ายสถานที่ เพราะอย่างน้อยมันก็คือการบันทึกความทรงจำของเรา ส่วนความสวยงามก็อยู่ที่เราจะครีเอทมันออกมาครับ
จอ LCD ที่แสดงค่าแสงจริงก่อนถ่าย ทำให้เราเห็นภาพก่อนตัดสินใจกดชัตเตอร์ ซึ่งเป็นประโยชน์มากกับการถ่ายไฟล์ Jpeg (ในภาพเป็น DSLR ที่สามารถเปิด Live view คล้ายมิเรอร์เลสได้)
8. จบหลังกล้องไปเลย
เป็นเรื่องที่ดีเบท หรือเป็นที่พูดถึงกันมาช้านาน กับการจบหลังกล้องหรือนำไปตกแต่งภาพภายหลังดีกว่ากัน อันที่จริงผมมองว่ามันเป็นกระบวนการที่เฉพาะตัวที่ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันครับ เพราะมันมีข้อดีแตกต่งกันตามสถานการณ์ แต่สำหรับใครที่ถ่ายภาพเป็น Jpeg ซะส่วนใหญ่ อาจจะจากการลืมตั้งค่าหรือจงใจก็แล้วแต่ ผมไม่อยากให้คิดว่าเป็นเรื่องรู้สึกผิดอะไร
ภาพที่จบหลังกล้อง หรือไฟล์ Jpeg เนื่องจากกล้องที่ใช้เป็นกล้องที่พึ่งเปิดตัว การเปิด Raw ไฟล์ยังใช้ไม่ได้ ผมเลยจำเป็นที่จะต้องถ่ายเป็นภาพ Jpeg มาใช้งานก่อน และเซ็ทค่าในกล้องเพิ่มเติม เช่น เลือก Creative picture control เพิ่มความคมให้มากขึ้น และเลือกไวต์บาลานซ์ให้ใกล้เคียงกับสีจริงให้มากที่สุด
เพราะในยุคสมัยของกล้อง Mirrorless ที่พัฒนาขึ้นมามาก เราแทบจะจัดการให้จบได้จากหลังกล้องและพร้อมที่จะแชร์สู่โซเชี่ยลได้เลย เพราะความสามารถของกล้องที่แสดงค่าจริงให้เราได้เห็นแบบเรียลไทม์เลย ไม่ว่าจะเป็นค่าแสง สี ความคมชัด เราก็สามารถเห็นได้ตั้งแต่ก่อนกดชัตเตอร์แล้ว และหากไม่ซีเรียตจนเกินไป ผมว่าผู้ถ่ายภาพเองมีความสามารถมากพอที่จะรู้ว่าภาพนั้นๆ จะออกมาดีหรือไม่ดี หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจนั่นเองครับ
ทั้งหมดที่ผมให้ความเห็นไป อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ครับ แต่อย่างน้อยๆ ก็อาจจะเป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีความสุขกับการถ่ายภาพแบบไม่ซีเรียสอะไรมากมาย หรือไม่อาจนำไปใช้กับการถ่ายภาพเชิงธุรกิจนั่นเองครับ หวังว่าผู้อ่านจะได้อะไรบ้างจากบทความนะครับ
แอดมิน โย
Leave feedback about this