สำหรับมือใหม่ที่พึ่งมีกล้องถ่ายภาพ หรือมีมีนานแล้ว แต่ส่วนมากก็ถ่ายเพื่อเก็บบันทึกภาพเป็นความทรงจำไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้จะจริงจังอะไรมากมาย เพราะก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับภาพเหล่านั้นเหมือนกัน ในบทความนี้ผมก็เลยมีข้อแนะนำสำหรับกระบวนการจัดการภาพหลังจากการถ่ายภาพแล้วให้กับช่างภาพมือใหม่กันครับ เผื่อว่าหลายๆ ท่านอยากจะนำภาพเก่าๆ มาทำเล่นๆ และอาจจะทำให้ได้ภาพที่แปลกใหม่ หลากหลาย และสนุกกับการสร้างสรรค์ภาพเหล่านั้นครับ
อย่างแรกเลย หากพูดถึงการถ่ายภาพเพื่อนำไปตกแต่งภาพในภายหลัง หลายๆ คนก็มักจะแนะนำให้ตั้งค่าการบันทึกภาพเป็นแบบ Raw ไฟล์ แต่จริงๆ แล้วการตกแต่งภาพมันก็สามารถทำได้ทั้งไฟล์ Jpeg และ Raw ไฟล์ หละครับ เพียงแต่ Raw ไฟล์สามารถจัดการกับภาพได้มากกว่าไฟล์ jpeg นั่นเอง และนอกจากสองนามสกุลที่เรารู้จัก ก็ยังมีอีกนามสกุลคือไฟล์ HEIF ซึ่งก็เป็นไฟล์ที่ผ่านการประมวลผลมาแล้วคล้าย Jpeg แต่มีความพิเศษกว่าคือ คุณภาพในการบีบอัดไฟล์ที่แตกต่างกัน ทำให้ได้ไฟล์ที่เล็กกว่า รองรับสีได้ดีกว่า ซึ่งได้ถึง 10-bit หรือมากกว่า คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ
แต่ไม่ว่าจะเป็นไฟล์อะไร หลักการในการตกแต่งภาพก็มีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน จะต่างกันก็เพียงแต่การเข้าไปแก้ไขได้มากน้อยต่างกันครับ และแม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ความต่างในแง่ของ Software ก็มักจะมีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือให้เราเข้าไปใช้งานเพื่อปรับแก้ตกแต่งภาพตามที่เราต้องการได้ครับ
การเลือกตกแต่งภาพหลักๆ มีอะไรบ้าง ไปเริ่มกันเลยครับ
ลองปรับค่าแสงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง หรือแก้ภาพที่เราถ่ายมามืดเกินไป เพื่อนำไปใช้ประโยชน์หรือไปตกแต่งเพิ่มเติมในภายหลังได้ดียิ่งขึ้น
1. Exposure การปรับค่าแสงให้ถูกต้อง
ในสเต็ปแรกอยากให้ลองปรับค่าแสงให้ถูกต้องตามความเป็นจริงก่อนครับ เพราะมันจะช่วยบ่งบอกว่าภาพถ่ายของเราถ่ายมาในช่วงเวลาใด เพราะช่วงเวลาจะช่วยแสดงอารมณ์ของภาพได้อย่างตรงไปตรงมา และง่ายต่อการเข้าใจภาพนั้นครับ หากเป็นภาพแนวอื่นที่ไม่ต้องการเรื่องของอารมณ์ภาพเข้ามาเกี่ยวของ การปรับค่าแสงให้ตรงก็ยังเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะมันจะช่วยให้เห็นรายละเอียดทั้งในส่วนมืดและส่วนสว่างครับ เว้นแต่ว่าเป็นการจงใจไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น อย่างเช่นการถ่ายภาพแนว High key หรือ Low key ที่มักจะยอมให้รายละเอียดในส่วนมืดหรือส่วนสว่างให้หายไปบ้าง แต่ก็อย่างว่าครับ การตกแต่งภาพไม่ได้มีข้อจำกัดที่ตายตัวว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด หากแต่อยู่ที่การนำไปใช้งานให้เหมาะสม เพียงแต่การตกแต่งแสงให้ตรงไว้ก่อนจะเป็นการดีที่จะนำไปตกแต่งในแบบอื่นๆ ในภายหลังได้ครับ
เพิ่มคอนทราสต์เพื่อให้รายละเอียดของภาพคมชัดขึ้น สีสันดูจัดจ้านขึ้น ช่วยสร้างความรู้สึกที่หนักแน่นให้กับภาพ
2. Contrast ปรับแต่งคอนทราสต์
การปรับคอนทราสต์ (Contrast) เป็นเครื่องมือสำคัญในการตกแต่งภาพถ่าย เพราะช่วยเพิ่มมิติและความน่าสนใจให้กับภาพ โดยพื้นฐานแล้ว คอนทราสต์ คือความแตกต่างระหว่างส่วนที่สว่างที่สุด (ไฮไลต์) กับส่วนที่มืดที่สุด (เงา) ในภาพ การเพิ่มคอนทราสต์จะทำให้รายละเอียดของภาพคมชัดขึ้น สีสันดูจัดจ้านขึ้น และช่วยสร้างความรู้สึกที่หนักแน่นให้กับองค์ประกอบภาพ อย่างไรก็ตาม ควรปรับอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้สูญเสียรายละเอียดในส่วนที่มืดหรือสว่างจนเกินไป ซึ่งการปรับกราฟโทน (Tone Curve) ในโปรแกรมแต่งภาพจะช่วยให้คุณควบคุมการปรับคอนทราสต์ได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติที่สุดครับ นอกจากเรื่องของคอนทราสต์แล้ว สิ่งที่จะมีส่วนผสมโรงกับเรื่องนี้อยู่บ้างก็คือ Highlights (ส่วนสว่าง) และ Shadows (ส่วนมืด) ครับ
Highlight & Shadows
การปรับ Highlights (ส่วนสว่าง) และ Shadows (ส่วนมืด) เป็นเทคนิคการตกแต่งภาพที่ทรงพลังที่สุดในการกู้คืนรายละเอียดและเพิ่มมิติให้กับภาพถ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ถ่ายในสภาวะแสงที่ท้าทาย (มีส่วนสว่างและส่วนมืดตัดกันมาก) การลดค่า Highlights จะช่วยดึงรายละเอียดในพื้นที่ที่สว่างจ้าเกินไป (เช่น ท้องฟ้าสีขาวโพลน) ให้กลับมามีสีและรายละเอียด
เปิดเงาในส่วนที่มืด (Shadows) โดยที่แสงจากฉากหลังไม่สว่างเกินไป และรายละเอียดในส่วนที่เป็นไฮไลต์ยังคงมีให้เห็น
ดึงรายละเอียดของสีในส่วนไฮไลต์ให้เพิ่มขึ้น (ฟ้าจากขาวเป็นสีน้ำเงินมากขึ้น) และเพิ่มแสงสว่างในส่วนที่มืด (Shadows) ให้เห็นรายละเอียดและสีสันในส่วนมืดมากขึ้น
ในทางกลับกัน การเพิ่มค่า Shadows จะช่วยให้ส่วนมืดของภาพ (เช่น ใบหน้าภายใต้เงาหรือฉากหลังที่มืดเกินไป) สว่างขึ้น เผยให้เห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ใต้เงามืดนั้น ๆ การใช้สองเครื่องมือนี้อย่างสมดุลจะช่วยขยายช่วงโทนสีของภาพ (Dynamic Range) ทำให้ภาพดูสมจริง มีมิติ และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยยังคงรักษาความสมดุลของแสงโดยรวมของภาพไว้ได้ครับ
3.Color สีสัน
ในเรื่องของการตกแต่งภาพที่เกี่ยวกับสีสันนั้น ก็มักจะมีเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ 3 เรื่อง หลักๆ ครับ คือ
White balance
หลายบทความที่ผมได้อ่าน หรือผมเองเขียนแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของไวต์บาลานซ์ คือ การตั้งค่าไวต์บาลานซ์ของกล้องให้เป็นกลางไว้ก่อน แล้วถ่ายเป็น Raw ไฟล์ เพื่อสะดวกในการมาปรับแต่งไวท์บาลานซ์ทีหลังได้ง่ายและสะดวกครับ หากเราตั้งค่าไวท์บาลานซ์มาผิดตั้งแต่แรก การจะปรับแต่งให้กลับมาเหมือนสภาพโทนสีจริงตามที่เราอยากจะให้เป็นก็จะยาก และทำได้ช้ากว่าการถ่ายโทนสีจริงมาตั้งแต่แรกครับ
ปรับแก้โทนสีที่ผิดพลาดจากการถ่ายให้กลับมามีโทนสีที่ตรงกับโทนสีจริง
การปรับ White Balance ในขั้นตอนหลังการถ่ายภาพ จะช่วยแก้สีที่เพี้ยน (Color Cast) ให้เป็นกลางและสมจริงตามที่ตามองเห็น หรือคุณสามารถใช้การปรับนี้เพื่อสร้างอารมณ์ (Mood) ให้กับภาพได้เช่นกัน เช่น การปรับให้ภาพติดโทนสีอุ่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อสร้างความรู้สึกอบอุ่น หรือปรับให้ติดโทนสีเย็นเพื่อสื่อถึงความเศร้าหรือความเย็นยะเยือก หากคุณถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW คุณจะสามารถปรับค่า White Balance ได้อย่างยืดหยุ่นและแม่นยำมากที่สุดในโปรแกรมแต่งภาพ โดยไม่ทำให้คุณภาพของภาพลดลงครับ
การปรับแต่งไวท์บาลานซ์นั้นมีหลากหลายมาก ซึ่งในหลายๆ เครื่องมือตกแต่งภาพมักจะมีโหมดสำหรับตกแต่งภาพนี้มาให้ แม้กระทั่งโปรแกรมตกแต่งภาพในสมาร์ทโฟนก็มีมาให้ครับ ซึ่งมันเป็นเครื่องมือตกแต่งภาพที่ดีและทรงพลังมากๆ ในความคิดผมครับ มันทำให้ภาพถ่ายของเราดูมีสีสันและน่าสนใจขึ้น แม้วัตถุที่เราถ่ายจะออกแนวธรรมดาๆ ครับ
เพิ่ม Saturation ให้สีอิ่มมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มค่า Saturation นี้ สีจะเพิ่มความเข้มของสีทุกสีในภาพอย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นสีในส่วนที่ไม่ใช้วัตถุหลักที่เราต้องการก็ตาม
Saturation
Saturation (ความอิ่มตัวของสี) เป็นเครื่องมือหลักในการปรับความเข้มของสีในภาพถ่าย แต่มีการทำงานที่แตกต่างกัน การปรับ Saturation จะเป็นการเพิ่มหรือลดความเข้มของสีทุกสีในภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจทำให้ภาพดูจัดจ้านขึ้น หรือ อาจจะทำให้ภาพถ่ายมันดู “ปลอม” เกินจริงได้ง่ายเมื่อปรับขึ้นมากเกินไปครับ
Vibrance
ในทางตรงกันข้าม การปรับ Vibrance จะเน้นเพิ่มความเข้มของสีในส่วนที่สีอ่อนเป็นหลัก และจะส่งผลกระทบต่อสีผิว (Skin Tones) และสีที่มีความเข้มสูงอยู่แล้วน้อยกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ การใช้ Vibrance จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า และเป็นธรรมชาติกว่า ในการเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับภาพ เคล็ดลับคือ ควรเริ่มต้นด้วยการเพิ่ม Vibrance เล็กน้อย หากยังไม่พอใจจึงค่อยปรับ Saturation เพิ่มเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้สีสันที่สวยงามโดยไม่ทำให้ภาพดูผิดเพี้ยนครับ
เพิ่ม Sharpening เข้าไปใในภาพเพื่อดึงรายละเอียนของขนนกและ Texture ของตอไม้ให้มีรายละเอียดมากขึ้น แต่ Noise ก็จะแสดงรายละเอียดออกมาให้เห็นด้วยเหมือนกัน
4. Detrail รายละเอียด
แถมให้อีกเรื่องหนึ่งครับ การดึงรายละเอียด หากว่าภาพถ่ายที่เราถ่ายมาแล้วมันเบลอ (ไม่มากจนเกินไป) และรายละเอียดมันหายไปบ้าง หรือมี Noise ในภาพบ้าง (บางคน หรือ ภาพบางแนว อาจจะชอบให้มี Noise อยู่ในภาพ ก็ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ ^^) วิธีแก้ก็อาจจะมีหลายวิธี และวิธีที่ผมชอบใช้ และช่างภาพหลายคนก็อาจจะชอบด้วย (ไหมนะ ^^) ก็คือ
การปรับค่า Sharpening (ความคมชัด), Detail (รายละเอียด) และ Luminance (การลด Noise แสง) เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกันอย่างมากๆ เรียกว่าใกล้ชิดเลยก็ว่าได้ครับ
การปรับ Sharpen เพื่อให้รายละเอียดของขนนกเห็นชัดขึ้น แต่ Noise ก็ชัดขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การปรับแก้ Noise ให้ลดลงจึงสามารถปรับที่ Noise Reduction ได้
Sharpening
Sharpening ทำงานโดยการเพิ่มความต่างระดับสี (Contrast) บริเวณขอบของวัตถุ ทำให้ภาพดูคมชัดขึ้น แต่ถ้าปรับมากเกินไปจะทำให้เกิด Noise (สัญญาณรบกวนคล้ายเม็ดทราย) ได้ เข้าใจง่ายๆ คือ มันจะดึงรายละเอียดของ Noise ขึ้นมาด้วยพร้อมๆ กับที่เราอยากให้รายละเอียดของวัตถุให้มันมีรายละเอียดมากขึ้นนั่นแหละครับ รายละเอียดของวัตถุเพิ่ม รายละเอียดของ Noise ก็เพิ่มครับ ยิ่งมี Noise เยอะ มันก็เพิ่มขึ้นมาเยอะด้วยครับ แต่ก็พอมีวิธีลด Noise เหล่านั้นให้ลดลงได้ครับ ด้วยการปรับแก้ Noise Reduction
Noise Reduction
ในส่วนของ Noise Reduction จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ Luminance จะช่วยลด Noise ที่เกิดจากความสว่างหรือเม็ดสี ขาว-ดำ ซึ่งมักทำให้ภาพดูหยาบกร้าน (Grainy) ส่วน Detail ในบริบทของการลด Noise จะเป็นตัวควบคุมว่าควรลด Noise ลงมากแค่ไหนโดยที่ยังคงรักษาพื้นผิวและรายละเอียดที่แท้จริงของภาพไว้ ดังนั้นเคล็ดลับคือการปรับ Luminance เพื่อทำให้ภาพเนียนขึ้น และใช้ Detail เพื่อป้องกันไม่ให้ภาพดูเรียบเนียนจนสูญเสียความคมชัดและรายละเอียดที่สำคัญไป
Shadows : ปรับให้เงาลดลงทั้งพื้นหลังและบนวัตถุ เพื่อให้ส่วนที่เป็นไฮไลท์เด่นขึ้น, Contrast : ปรับเพิ่มเพื่อให้รายละเอียดของภาพคมชัดขึ้น สีสันดูจัดจ้านขึ้น, Highlight : ลดไฮไลท์ลงเพื่อให้รายละเอียดในส่วนสว่างแสดงรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น ทำให้เห็นเส้นโครงสร้างมากขึ้น, Sharpen : ปรับให้มีความคมชัดของขอบวัตถุให้มากขึ้นเพื่อให้หลุดจากฉากหลัง, White Balance : ปรับแก้ไวท์บาลานซ์ให้มีสีสันที่ตรงมากขึ้นเพื่อให้เห็นสีสันที่แท้จริงของวัตถุหรือตัวแบบที่เราถ่ายนั่นเอง
แน่นอนครับว่า การตกแต่งภาพไม่มีผิดไม่มีถูกครับ อยู่ที่ผู้สร้างสรรค์ภาพถ่ายครับ ว่าจะให้ภาพของตัวเองออกมาในแบบไหน แต่จะออกมาในแบบที่เราตั้งใจอยากจะให้เป็นหรือเปล่า นั่นก็ขึ้นอยู่กับเราครับว่าจะเข้าใจเครื่องมือ หรือพื้นฐานที่ผมได้นำเสนอมาหรือป่าว อันที่จริงบทความที่แนะนำนี้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการลงมือทำแล้วก็ทดลองทำอย่างสม่ำเสมอ และเรียนรู้ไปกับมัน ซ้ำๆ บ่อยๆ ก็จะช่วยให้เราเข้าใจและมองออกว่า เราอยากจะถ่ายภาพให้ออกมาแบบนี้ เราจะใช้เครื่องมืออะไรได้บ้าง และมันทำได้จริงหรือไม่ มันก็จะช่วยให้เราตัดสินใจก่อนถ่ายภาพได้ด้วยเช่นกันครับ
ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพและสร้างสรรค์ภาพครับผม
Leave feedback about this