EOS R5 Mark ii ตัวนี้ ที่เรียกกันว่าเป็นกล้องไฮบริด High Resolution ความละเอียด 45 ล้านพิกเซล ออกแบบมาสำหรับทั้งงานภาพนิ่งและวิดีโอ ในส่วนของวิดีโอ ไฟล์ 45 ล้านพิกเซล ทำให้มันสามารถรองรับงานวิดีโอ ระดับ 8K ได้ ในขณะที่กล้องที่ความละเอียดต่ำกว่านี้ ก็จะไปได้แค่ 4K หรือ 6K กล้องตัวนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก R5 ตัวเดิมบ้าง ผมสรุปให้สั้นๆ แบบนี้ครับ
อย่างแรกเลยคือ มันเปลี่ยนเซ็นเซอร์ใหม่ มาใช้เซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Stacked CMOS ที่เป็น Back-illuminated (BSI) ซึ่งจะทำให้มันทำงานได้รวดเร็วขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น แคนนอนได้พัฒนาชิปใหม่ที่เรียกว่า Accelerated Capture system (DIGIC Accelerator + DIGIC X) โดยใช้ชิปสองตัว ตัวหนึ่งเป็น DIGIC X อีกตัวหนึ่งเป็น DIGIC Accelerator ซึ่งชิปตัวที่สองที่เป็น Accelerator สามารถเร่งความเร็วในการทำงาน การประมวลผล ที่ส่งข้อมูลมาจากเซ็นเซอร์ Stack เข้าไปสู่ DIGIC X ได้เร็วขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่กล้องตัวนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน อย่างเรื่องความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง 30 fps แทบจะไม่มี Blackout free แล้ว มันเป็นกล้องที่ถ่ายต่อเนื่องได้โดยที่ภาพแทบจะไม่หายไปจากช่องมอง ทำให้การติดตามภาพทำได้สะดวกขึ้น รองรับวิดีโอ 8K/60p และลด Rolling shutter ในการบันทึกวิดีโอ
นอกจากนั้น ยังปรับปรุงระบบออโต้โฟกัสทุกอย่าง ขึ้นมาจาก R5 เดิมในแทบทุกด้าน ที่สำคัญเลยมันมาพร้อมระบบ Eye control Af เช่นเดียวกับ EOS R3 ที่มีระบบนี้ แต่พัฒนาให้การทำงานในระบบ Eye control ดีกว่าเดิม แม่นยำกว่าเดิม และยังเพิ่มระบบ Action priority Af สำหรับช่างภาพกีฬา ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล ทำให้การจับภาพง่ายขึ้น และยังสามารถ Register ใบหน้าของตัวแบบเราได้ ทำให้การโฟกัสติดตามแม่นยำขึ้น สามารถจดจำใบหน้าได้หลายใบหน้า และเราสามารถเลือกตำแหน่ง ลำดับความสำคัญของใบหน้าได้ด้วย
ในส่วนของคุณภาพ EOS R5 Mark II ยังปรับปรุงในส่วนของการลด Noise ด้วยระบบ Neural Network Noise Reduction ซึ่งจะลด Noise ที่ ISO สูงๆ ซึ่งจะทำงานบนไฟล์ Jpeg. ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือ มันยังมาพร้อมกับ Feature ที่เรียกว่า In – camera Upscaling ซึ่งมันจะเพิ่มความละเอียดของกล้องจาก 45 ล้านพิกเซล ขยับขึ้นไปเป็น 179 ล้านพิกเซล โดยที่คุณภาพของภาพยังดีอยู่นั่นเองครับ
นอกจากนั้น กันสั่นในตัวกล้องก็พัฒนาขึ้นจากเดิม 8 สตอป ขึ้นมาเป็น 8.5 สตอป และทำงานได้ดีกับระบบวิดีโอด้วย และที่สำคัญ ช่องมองภาพปรับปรุงขึ้นมาจากรุ่นเดิม ความละเอียดสูงขึ้นเป็น 5.76 ล้านจุด (EOS R5 เดิม 3.6 ล้านจุด) ทำให้มองภาพได้คมชัดขึ้น สบายตามากขึ้น แล้วก็มีระยะ Eye point ที่ห่างกว่าเดิมถึง 2.5 เซ็นติเมตร ช่างภาพที่ใส่แว่นตา สามารถมองภาพได้เต็มจอ โดยไม่ต้องกดตาแนบกับช่องมองภาพมากจนเกินไป การมองภาพจึงสะดวกกว่าเดิม
เรามาดูส่วนสำคัญของ EOS R5 Mark II คือเรื่อง Auto Focus ซึ่งเรื่องนี้แคนนอนพัฒนาไปเยอะครับ ระบบที่ใช้ในกล้องตัวนี้คือ Dual pixel Intelligent AF ซึ่งจะทำงานด้วยระบบ Accelerated Capture ซึ่งมันจะใช้ Ai ในการทำงานร่วมกับระบบ Ai deep learning ทำให้การประมวลผลของระบบออโต้โฟกัสทำงานได้แม่นยำ และรวดเร็วกว่าเดิม ในการใช้งานผมลองเอาไปถ่ายภาพเวคบอร์ด โดยการลองถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว พบว่าการติดตามโฟกัสทำงานได้แม่นมากครับ โดยผมเปิดระบบตรวจจับใบหน้าไว้ แล้วบันทึกภาพต่อเนื่อง เปิดภาพเป็นโฟกัสทั้งเฟรม แล้วก็ปล่อยให้กล้องมันทำงานไปครับ กล้องแทร็กเข้าหาใบหน้าของคนเล่นเวคบอร์ดได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่อยู่ในระยะไกล แล้วพอเข้ามาใกล้ไม่มีหลุดจากใบหน้าเลย เพราะฉะนั้นการใช้งานจึงไม่ต้องห่วงเลยว่าภาพจะหลุดโฟกัส ความแม่นยำถือว่าน่าพอใจมากครับ
นอกจากเรื่องนี้แล้ว มันยังมีระบบใหม่ที่แคนนอนนำมาใช้ คือ Register People Priority ระบบนี้เราสามารถให้กล้องจดจำใบหน้าหลักของตัวแบบที่เราต้องการได้ ในการทดสอบ ผมมีนางแบบไปสองคน แล้วผม Register หน้านางแบบคนที่หนึ่งเข้าไป โดยการไปที่เมนู Register People Priority แล้วกดบันทึกภาพเข้าไปไว้ในกล้อง หลังจากนั้นก็เลือกเป็น Priority ที่ 1 ตอนทดสอบก็ให้นางแบบเดินกันมาสองคน เดินตัดหน้าบ้าง ขวางบ้าง พลิกหน้าหันไปบ้าง กล้องยังสามารถจับที่ตาของตัวแบบที่เรา Register ไว้ได้อย่างแม่นยำ แม้จะถูกตัวแบบอีกคนหนึ่งบังไปบ้าง หรือแม้จะหันด้านข้าง การโฟกัสติดตามก็ยังแม่นยำอย่างมาก ทำให้เราสามารถเลือกซับเจ็คท์หลักของเราได้ กล้องจะไม่ไปโฟกัสคนอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพอีเวนท์ งานเวดดิ้ง หรือแม้แต่ภาพกีฬา มันใช้ประโยชน์ได้อย่างมากเลย
หลังจากนั้นผมลอง Register ใบหน้านางแบบคนที่สองเข้าไป แล้วเลื่อนนางแบบคนที่สองมาเป็น Priority คนที่หนึ่ง ย้ายคนที่หนึ่งไปเป็น Priority ที่สอง ทีนี้ก็พบว่ากล้องจะเปลี่ยนจากการโฟกัสนางแบบคนเดิมไปเป็นคนที่สองแล้ว แล้วมันก็จะโฟกัสติดตามได้อย่างแม่นยำเช่นเดิมนะครับ เพราะฉะนั้นการทำงานของระบบนี้ผมพอใจมากครับ
ต่อไปเป็นระบบ Action priority ระบบนี้ออกแบบมาสำหรับช่างภาพกีฬาโดยเฉพาะเลยครับ โดยจะเน้นกีฬาสามอย่าง คือ ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล โดยกล้องจะวิเคราะห์จากสองอย่างด้วยกัน คือ 1 รูปแบบการเคลื่อนไหวของตัวคน แล้วกล้องจะวิเคราะห์จากตำแหน่งของลูกบอลด้วย ถ้าลูกบอลถูกส่งจากอีกคนหนึ่งมาอีกคนหนึ่ง กล้องจะดูจากตำแหน่งของลูกบอล แล้วจะย้ายจากอีกคนหนึ่งมาโฟกัสคนคนนี้เลย พอบอลส่งจากคนนี้ไปอีกคนหนึ่ง มันก็รู้แล้วว่าบอลเคลื่อนที่ไปหาอีกคนหนึ่ง มันก็จะย้ายการโฟกัสไปหาอีกคนหนึ่งทันที ช่างภาพไม่ต้องทำอะไรครับ มีหน้าที่จัด Compost ภาพแล้วกดชัตเตอร์อย่างเดียว ระบบนี้จะช่วยให้การถ่ายภาพกีฬาสะดวก คล่องตัว และแม่นยำ แต่ในการทดสอบ ผมพบว่าสิ่งที่จะต้องระวังอย่างมากก็คือ ถ้าเรา Register ใบหน้าของนักกีฬาไว้เราต้องไปปลดออกก่อนครับ และถ้าจะให้ชัวร์ก็ควร Register ใบหน้าของนักกีฬาที่เราจะถ่ายไว้ก็จะเพิ่มความแม่นยำได้มากขึ้น
ระบบต่อไปคือ Eye Control ครับ Eye Control เป็นระบบที่มีมาตั้งแต่ EOS R3 แต่ว่าใน EOS R5 Mark II การปรับปรุงทำได้ดีขึ้น แม่นยำขึ้น ขั้นแรกเลยเราก็ไปที่เมนู Eye Control แล้วเข้าไป Register ให้มันวัดสายตาเราก่อนครับ พอมัน Calibrate เข้ากับสายตาเราได้แล้วก็เป็นอันเสร็จแค่นั้นครับ เวลาเราเอาไปใช้งาน ถ้าเราไปถ่ายภาพกีฬา เช่น มอเตอร์สปอร์ต เราแทบไม่ต้องทำอะไรครับ ไม่ต้องย้ายจุดโฟกัส ไม่ต้องย้าย Joint Strick เราแค่กรอกตาไปยังตำแหน่งที่เราจะโฟกัส ระบบโฟกัสจะเปลี่ยนให้ทันที่ตามสายตาของเราเลย ซึ่งจากการทดสอบพบว่ามันมีความแม่นยำดีมากๆ เป็นระบบที่จะช่วยให้ช่างภาพกีฬาทำงานได้อย่างหวังผลจริงๆ
สุดท้าย ระบบ Focus Perset ซึ่งระบบนี้ไม่เคยมีในตัวกล้องมาก่อนครับ เมื่อก่อนมันจะอยู่ในเลนส์ Super telephoto ที่เราจะสามารถล็อกโฟกัสไว้ได้ แล้วก็ Recall โฟกัสได้ แต่ใน EOS R5 Mark II คุณสามารถ Assign ปุ่มต่างๆ ให้ปุ่มหนึ่งทำหน้าที่ในการล็อก และอีกปุ่มหนึ่งใช้ในการ Recall เช่นตอนนี้ผมใช้ปุ่มด้านหลังในการล็อก แล้วใช้ปุ่มด้านหน้าในการ Recall แล้วสมมุติว่าผมไปถ่ายภาพนก ผมเล็งไปที่นกแล้วผมก็กดล็อกตำแหน่งที่นกไว้ กล้องก็จะจดจำระยะโฟกัสที่ตำแหน่งนกไว้ แล้ว ผมอาจจะหันไปถ่ายอย่างอื่น หรือถ่ายนกตัวอื่นก็ได้ แต่พอผมเห็นนกตัวที่ผมล็อกไว้มันอยู่ในท่าทางที่ดีที่ผมอยากถ่าย ผมแค่ยกกล้องกลับมาเล็งแล้วกดปุ่มด้านหลังลงไปก็จะเป็นการ Recall กลับมาที่ตัวนกทันที แล้วผมก็กดชัตเตอร์รัวลงไปได้เลย นกจะอยู่ในโฟกัสอย่างแน่นอน แล้วก็รวดเร็วด้วยครับ ซึ่งเป็นระบบที่สามารถใช้งานกับเลนส์อะไรก็ได้ เป็นประโยชน์มากๆ เลยครับ
มาดูในส่วนของคุณภาพไฟล์บ้างครับ ไฟล์ที่ได้จาก R5 Mark II ถ้าเทียบกับรุ่นเดิมเป็น Raw ไฟล์ เท่าที่ดูด้วยสายตาผมเชื่อว่าไม่แตกต่างกันครับ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียด ความคมชัด ไดนามิกเรนจ์ ผมลองถ่ายตัว R5 Mark II ด้วย Raw ไฟล์ ลองบันทึกอันเดอร์ที่ 1สตอป 2 สตอป 3 สตอป 4 แล้วก็ 5 สตอป แล้วลองดึงภาพที่อันเดอร์ 5 สตอป ให้ขึ้นมาเป็นภาพที่พอดีด้วย Photoshop ที่ติด Camera raw เวอร์ชั่น 6.5 พบว่าภาพสามารถดึงขึ้นมาจนเป็นแสงที่พอดีได้ โดยการไล่โทนสีก็ยังดีอยู่ ไม่เกิด Blending ยังให้รายละเอียดค่อนข้างดี การไล่โทนที่เป็นธรรมชาติ แล้วก็สัญญาณรบกวนก็อยู่ในระดับปานกลางครับ
แต่สิ่งที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ EOS R5 รุ่นเก่าก็คือไฟล์ Jpeg ที่ถ่ายด้วย ISO สูง ด้วยระบบการลด Noise อันใหม่นี้ ก็จะทำให้ภาพมีรายละเอียดดีขึ้น สัญญาณรบกวนต่ำลง ในขณะที่รักษารายละเอียดได้ดีกว่าเดิม ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็รู้สึกว่าไม่แตกต่างกันครับ
ทีนี้มาดูในส่วนของฟังก์ชั่นที่ผมชอบมากคือ In-camera Upscaling ผมลองถ่ายภาพ Packshot โดยวางซับเจคท์ไว้ ซับเจคท์จะมีรายละเอียดเยอะมากครับ แล้วบันทึกด้วยไฟล์เป็น Jpeg. ตั้ง Quality ไว้สูงสุด หลังจากนั้นผมก็ไปที่เมนู In-camera Upscaling แล้วกดให้กล้องทำงาน กล้องจะถามว่า เซฟเป็นไฟล์ใหม่หรือไม่ พอเซฟเป็นไฟล์ใหม่แล้วผมก็ลอง Play ดูจากตัวกล้อง แล้วขยายขึ้นมาซูมจนสุดที่ตัวกล้อง 100% พบว่าความคมชัดที่ได้จาก 179 ล้าน พิกเซล ยังดีมากๆ ครับ ดีจริงๆ ซึ่งระบบนี้มันทำงานด้วย Ai เพราะฉะนั้นมันไม่เหมือนเดิมครับ มันไม่ใช่การขยายไฟล์แบบเดิมๆ เป็นระบบที่มีประโยชน์มาก เพราะว่าเราไม่ต้องสนใจว่าเราถ่ายอะไร เราสามารถเอาไปถ่าย Portrait เอาไปถ่ายภาพกีฬา เอาไปถ่ายภาพอะไรก็ได้ แล้วขายไฟล์ให้มันเป็น 179 ล้านพิกเซลได้ ในขณะที่เป็นระบบเดิมๆ ที่ใช้การบันทึก 18 ภาพ มันจะไม่สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ อันนี้เป็นระบบที่ผมชอบมากและมีประโยชน์จริงๆ
อีกระบบหนึ่งที่มีประโยชน์มากๆ ก็คือ Dual Shooting ระบบนี้มันสามารถทำให้เราบันทึกวิดีโอ Full HD 30p ไปพร้อมๆ กับการบันทึกภาพนิ่ง อันนี้มีประโยชน์มากครับ คุณสามารถ Record ไฟล์ Full HD ไป แล้วคุณสามารถกดชัตเตอร์รัวก็ได้ครับ ความละเอียด 33.2 ล้านพิกเซล โดยเลือกคุณภาพของไฟล์ภาพ Jpeg ได้ถึงระดับ 10 โดยที่ไม่รบกวนการบันทึกวิดีโอเลย ระบบนี้ คนที่อยากได้ทั้งภาพนิ่งทั้งวิดีโอไปพร้อมๆ กันน่าจะชอบครับ
ทีนี้มาดูในส่วนของวิดีโอกันบ้างครับ EOS R5 Mark II ปรับคุณภาพของวิดีโอขึ้นจากตัวเดิม ตอนนี้มันทำได้ถึง 8K/60p ที่เป็นการบันทึก Raw ไฟล์ลงบน CF Express Type B ในตัว ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับว่า CF Exprees ต้องมีความเร็วมากพอที่จะรองรับไฟล์ Raw ของมันด้วย ซึ่งจะทำให้การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หรือว่าการผลิตคอนเทนท์ที่ต้องการคุณภาพสูงจริงๆ ด้วยการบันทึกเป็น Raw ไฟล์ ทำได้ดียิ่งขึ้น
และนอกจากนั้น สำหรับบางคนที่อาจจะไม่ได้บันทึกเป็น 8K แต่ต้องการแค่ 4K คุณภาพสูง EOS R5 Mark II ยังมี SRAW ซึ่งจะบันทึกเป็นไฟล์ Raw ที่มีขนาดเล็กลงมา ไม่บันทึกเต็ม 8k แล้ว ก็บันทึกเป็น 4K นี่แหละครับ เป็น SRAW แต่รองรับ 4K/60p ทำให้เราสามารถบันทึกในการ์ดได้โดยตรง โดยที่เรายังได้ไฟล์คุณภาพสูง และไฟล์ยังสามารถนำไป Grading ปรับแต่งได้อย่างไร้ข้อจำกัด นอกจากนั้น ด้วยความที่มันมี 2 Slot คือ CF Express Type B และอีกช่องก็จะเป็น SD Card เราจึงสามารถบันทึกไฟล์ความละเอียดสูงได้ เช่น 8K หรือ 4K ความละเอียดสูงลงใน CF Express Type B แล้วก็บันทึกไฟล์ 2K ที่เป็น Proxy ลงใน SD Card ได้ แล้วเราก็สามารถเอาไฟล์ 2K จาก SD Card ที่เป็นไฟล์ Proxy ไปตัดต่อก่อน เพื่อความรวดเร็วในการทำงานได้ครับ
ในการทดสอบระบบวิดีโอ สิ่งที่ผมสนใจเรื่องแรกเลยคือ ระบบกันสั่นเป็นอย่างไร เพราะเคลมว่าระบบกันสั่นพัฒนาขึ้นมาสำหรับการทำงานร่วมกับวิดีโอ โดยเปิดระบบกันสั่นทั้งที่ตัวเลนส์ที่ทำงานร่วมกับกล้องด้วย และเปิดระบบกันสั่นดิจิทัล ใช้ร่วมกับเลนส์ 24-105mm แล้วเดินถอยหลัง บันทึกด้วยไฟล์ 4K/50p จากภาพที่ได้ก็พบว่าความนิ่งของภาพอยู่ในระดับน่าพอใจมาก กันสั่นของกล้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ถ้าเราไม่มีกิมบอลก็พอจะใช้ทดแทนได้ แทบจะไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ลดการสั่นไหวของภาพเลย อันนี้เป็นระบบที่ดี แล้วก็การตรวจจับใบหน้า การตรวจจับดวงตายังแม่นยำเหมือนกับภาพนิ่งครับ ถ้าเรา Calibreat Register ใบหน้านางแบบไว้แล้วก็มั่นใจได้ว่าการติดตามในการบันทึกเมื่อบันทึกวิดีโอ จะมีความแม่นยำสูง คุณภาพไฟล์ที่ได้ก็ยังเยี่ยมยอดอยู่ครับ
ถ้าการถ่ายภาพนางแบบอาจจะเป็น Movement ที่ช้า ผมก็เลยลองเอาไปถ่ายภาพเวคบอร์ดครับ ก็พบว่าการติดตามไฟกัสทำได้แม่นยำน่าพอใจมากครับ ภาพวิดีโอ Slow Motion ที่บันทึกด้วย 4K/100p สามารถจับโฟกัสเข้าที่ใบหน้าของผู้เล่นได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่ระยะไกลจนถึงระยะใกล้ จนม้วนตัวเล่นท่าจนถึงแตะผิวน้ำ โฟกัสก็ยังไม่มีหลุด แล้วก็ยังได้ภาพเคลื่อนไหวที่มีคุณภาพสูงและคมชัดอย่างมาก น่าพอใจมากครับ
และตอนที่เอาไปถ่ายภาพวิดีโอ ผมก็จะติดกริปเข้าไปด้วย ซึ่งกริปตัวนี้ไม่ใช่กริปแนวตั้งธรรมดาครับ แต่เป็น Cooling Fan พัดลมช่วยระบายความร้อนให้เซ็นเซอร์ของกล้อง โดยจะเห็นช่องด้านหน้า ซึ่งจะเห็นช่องรับลมเข้าไปครับ ข้างในจะเป็นมอเตอร์ที่เป่าลมผ่านช่องด้านล่างเข้าไปในด้านหลังระบายความร้อนให้เซ็นเซอร์ แล้วก็จะระบายออกทางช่องด้านข้างของกล้อง ซึ่งสามารถถ่ายไฟล์ 8K/60p ต่อเนื่องได้ถึง 120 นาที โดยที่กล้องยังไม่ฮีต แล้วถ้าคุณถ่ายภาพเป็นไฟล์ 4K เรียกได้ว่า Unlimit time เลยครับ คือสามารถถ่ายต่อเนื่องได้ไม่จำกัดเวลา
โดยการระบายความร้อนของตัวเซ็นเซอร์นี้จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นแบตเตอรี่ที่มีแถบสีขาวที่มีรหัส LP-E6P เท่านั้นครับ ถึงจะสามารถปรับการทำงานของพัดลมได้ ถ้าใช้แบตเตอรี่รุ่นเดิม จะไม่สามรถปรับฟังก์ชั่นการทำงานของพัดลมได้ และเราสามารถปรับความแรงของพัดลมได้ เช่น High, Medium, Low และปรับรูปแบบของพัดลมได้อีกสองรูปแบบครับ เสียงจากการทำงาน เขาบอกว่าอาจจะติดเข้าไปในคลิปบ้าง แต่ที่ดูแล้ว เสียงก็ค่อนข้างจะเบา และแนะนำว่าจำเป็นครับสำหรับช่างภาพมืออาชีพ
EOS R5 Mark II รองรับการทำงาน Apple Prores RAW และรองรับการบันทึกเสียง PCM 24-Bit 4-Channel สามารถบันทึกเสียงคุณภาพสูงได้ครับ และที่สำคัญ สำหรับคนที่สงสัยว่า Rolling shutter ดีกว่าเดิมไหม? เขาเคลมว่า ด้วยการใช้ Stacked CMOS ร่วมกับตัวชิปประมวลผลใหม่ 2 คู่ ทำให้การลด Rolling shutter ทำได้ดีกว่าเดิมถึง 40% เพราะฉะนั้นเวลาเอาไปถ่ายภาพที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว Rolling shutter น้อยกว่าเดิมแน่นอน
สรุปการใช้งานในช่วงเวลาสั้นๆ EOS R5 Mark II จุดที่ผมชอบเลยก็คือ มันเป็นกล้องที่ทำงานได้ดีมากๆ ทั้งภาพนิ่งทั้งวิดีโอ ความละเอียด 45 ล้านพิกเซล ผมกำลังชอบเลยครับ เพราะว่ามันได้ความละเอียดสูงพอ และยังได้ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ที่บันทึกเป็นไฟล์ Raw ด้วยซ้ำ ระบบออโต้โฟกัสที่พัฒนาไปไกลมาก ทำให้การใช้งานสามารถทำงานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพกีฬา ภาพเคลื่อนไหว ภาพสัตว์ ภาพนก ถ่ายได้หมด ในส่วนของวิดีโอก็รองรับการทำงานไปถึง 8K หรือ 4K/120p แน่นอนว่ารองรับการทำงานระดับอาชีพได้ และที่สำคัญคือกันสั่นที่ทำงานได้ดีมากๆ ทั้งภาพนิ่งทั้งวิดีโอ และคุณภาพไฟล์ก็ยังเยี่ยมยอดเหมือนเดิมครับ เป็นกล้องที่ต้องลองไปเล่นดูครับ
Leave feedback about this