SCOOPS TRAVELS

พระราชวังอุดัยปูร์ Plan A : ริมนํ้าในยามเย็น

เมืองอุดัยปูร์ (Udaipur) หรือที่บางท่านเรียกแบบไทยๆ ว่า “อุทัยปุระ” เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของแคว้นราชาสถาน (Rajasthan) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของแดนดินถิ่นภารตะ ที่ใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนแล้วมักจะหลงไหลได้ปลื้มกันไม่มากก็น้อย

ของดีทีเด็ดแห่งอุดัยปูร์ที่ไม่เหมือนไม่ซํ้ากันกับเมืองไหนๆ ในแคว้นราชาสถาน(ในแง่ของการถ่ายภาพนะครับ) ก็คือทำเลที่ตั้งของพระราชวังอุดัยปูร์(Udaipur city palace)ที่วางตัวประชิดติดริมทะเลสาบพิโคล่า (Lake Pichola) หนำซํ้าใจกลางทะเลสาบยังมีพระราชวังเก่าอีกหลังหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นโรงแรมหรูหราไฮโซ(ชื่อ Taj Palace Hotel) ไว้หลอกล่อนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก ภายในตัวพระราชวังอุดัยปูร์ ปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แบ่งห้องหับมากมายจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ไว้อย่างน่าชม อนุญาตให้ถ่ายภาพได้แต่ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง ต้องใช้การตั้ง ISO สูงๆ กับระบบกันสั่นในกล้องในเลนส์เป็นตัวช่วยสำหรับการถ่ายภาพครับ ส่วนเมืองเก่าอุดัยปูร์เองเป็นเนินเขาสูงๆ ตํ่าๆ บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามความสูงของพื้นที่ แถมตามฝาผนังบ้านบริเวณข้างประตูทางเข้า ยังนิยมวาดภาพพระพิฆเนศวร เทพเจ้าองค์ต่างๆ รวมทั้งช้างม้า ประดับประดาไว้อย่างสวยงามมีสีสัน ชาวบ้านร้านตลาดก็ยิ้มแย้มแจ่มใสชอบถ่ายภาพเฉกเช่นเดียวกับแขกอินเดียทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ จัดเป็นเมืองที่น่าเดินถ่ายภาพลำดับต้นๆ ของผมเลยทีเดียวเชียวครับ

“Taj Palace Hotel Vs. Udaipur City Palace” ภาพนี้ตั้งขาถ่ายภาพอยู่บนท่าน้ำแล้วครับ ผมจึงเปลี่ยนกลับมาตั้งค่า ISO ต่ำๆ ได้ตามปกติ ร่วมกับระบบล๊อกกระจกสะท้อนภาพและระบบหน่วงเวลาถ่ายภาพสองวินาที อันเป็นวิธีการประจำตัวของผมสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมเมื่อใช้ขาตั้งกล้อง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด แสงจะมากจะน้อย ผมก็ยังคงใช้การล๊อกกระจกและระบบหน่วงเวลาเสมอครับ เพราะมันก็ไม่ได้เสียเวลาในการถ่ายภาพเพิ่มอีกสักเท่าไรเลย แต่ได้ความมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้ภาพที่คมชัด และได้องค์ประกอบภาพอย่างที่ตั้งใจไว้แน่ๆ ในเรื่องของสีสันที่มันอาจจะดูจืดๆ ไปสักหน่อย ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ให้ใกล้เคียงกับของจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้ไปเร่งสีปรับแสงให้มันดราม่าขึ้นมา แม้ว่าจะสามารถทำได้ไม่ยากก็ตาม เรื่องนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลนะครับ EOS 5D MK II, LENS TS-E 24 mm. F/3.5L II, 1 Sec. F/11, ISO 50

หนล่าสุดที่ผมเพิ่งไปถ่ายภาพมา นับเป็นครั้งที่สามเข้าให้แล้ว เป็นการจัดทริปพาสมาชิกของเว็บ MDPHOTO ไปตระเวนถ่ายภาพในหลากหลายเมืองของแคว้นราชาสถาน ซึ่งอุดัยปูร์เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ผมเลือกไว้ ผมเลือกที่พักให้ติดทะเลสาบพิโคล่าใกล้ๆ กับวัง ตั้งใจว่าช่วงเย็นๆ จะเดินเลาะริมนํ้าไปถ่ายภาพแสงยามเย็นที่สาดจับเข้าหลังวังได้ใกล้ๆ ง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยครับ

ในสองครั้งแรกที่ไปนั้น ระดับนํ้าในทะเลสาบค่อนข้างน้อย จึงมีตลิ่งดิน มีพื้นที่แห้งๆ ให้เดินได้สบาย ทว่าในคราครั้งนี้ นํ้าเต็มล้นปรี่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ระดับนํ้าขึ้นสูงจนชนแนวอาคารริมนํ้าทั้งหมดไม่มีแม้ที่ให้วางเท้าได้สักนิ๊ดดดเดียว!!! บร๊ะเจ้า!!! บนร้านอาหารของโรงแรมในเย็นวันแรก ผมและสมาชิกร่วมทางจึงยึดเอาหัวมุมร้านอาหารของโรงแรมเป็นที่ตั้งเพราะมองเห็นวิวทะเลสาบชัดเจน เอาพระราชวังกลางนํ้าเป็นเป้าหมายหลักไปก่อน(เพราะไปถึงที่พักจังหวะแสงเย็นกำลังสวยพอดี จะปรับแผนอะไรก็ไม่ทันแล้วครับ)

เช้าวันถัดมา ผมจึงพาสมาชิกเดินเข้าไปถ่ายภาพพระราชวังอุดัยปูร์จากทางเข้าหลักด้านหน้า จากนั้นก็พาเข้าไปชมและถ่ายภาพพิพิธภัณฑ์ตามสูตรสำเร็จ ซึ่งใช้เวลานานกว่าทัวร์ปกติมากกกกก….พวกห้องหับและสิ่งละอันพันละน้อยที่เขาจัดแสดงไว้ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรกันหรอกครับ แต่มันมีช่องหน้าต่าง มีระเบียงที่มองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกวังได้ บางมุมก็เป็นตัวเมือง บางมุมก็เห็นทะเลสาบ เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับมุมพวกนี้ล่ะครับ รวมกับทั้งต้องรอจังหวะคนว่างๆ อีกพอประมาณ กว่าจะเดินมาถึงทางออกเวลาก็ล่วงบ่ายเข้าไปแล้ว หามื้อเที่ยงรองท้องก็หมดไปอีกชั่วโมงกว่าๆ แผนการเดินซ่อกแซ่กซอกซอนถ่ายภาพตามซอกซอยในเมืองจึงต้องถูกตัดทิ้งไปโดยปริยาย เพื่อยกเวลาช่วงเย็นทั้งหมดให้กับการถ่ายภาพพระราชวังริมนํ้า ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ เป็นภาพหลักของเมืองนี้ที่…ไม่มี…ไม่ด้ายยยย…ว่างั้น

แม้ว่าจริงๆ แล้วพระราชวังอุดัยปูร์ฝั่งที่ติดทะเลสาบนั้นมันจะเป็นด้านหลังทว่ามันก็ยังมีความสวยงามสำหรับการถ่ายภาพ อาจจะยิ่งกว่าการถ่ายจากด้านหน้าเสียด้วยซํ้าไปครับ เพราะจะมีเงาสะท้อนผิวนํ้ามาเป็นตัวเสริม ทั้งได้แสงทองของยามเย็นมาเพิ่มความเมลืองมลังให้พระราชวังสีเหลืองขึ้นไปอีกขั้น ตบท้ายด้วยการถ่ายช่วงโพล้เพล้รอพระราชวังเปิดไฟกับท้องฟ้าสีนํ้าเงินเข้ม แบบว่ามันต้องได้ภาพดีๆ ติดไม้ติดมือกันบ้างแน่ๆ จากการถ่ายภาพบนร้านอาหารเมื่อเย็นวาน ทำให้มองเห็นจุดดีๆ สำหรับการตั้งหลักปักขา เพื่อถ่ายภาพในช่วงโพล้เพล้ ซึ่งก็คือปลายแหลมฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมที่เราพัก มีท่านํ้าหน้าวัด มีโรงแรม และร้านอาหาร ตั้งอยู่ ดูแล้วมีที่ทางให้ถ่ายภาพได้แน่ๆไปหาทำเลเอาแถวนั้น ตั้งกล้องหันกลับมาก็จะเห็นพระราชวังแบบเต็มๆ พอดี ส่วนช่วงแสงสีทองผมไปเช่าเหมาเรือไว้หนึ่งลำ ขึ้นเรือจากท่านํ้าหลังโรงแรมที่เราพักได้พอดี แล้วก็ให้ไปปล่อยลงที่ฝั่งตรงข้าม ถ่ายภาพกันจนมืดคํ่า เสร็จแล้วก็หาร้านอาหารแถวนั้นกินบรรยากาศอีกต่อหนึ่ง แล้วค่อยเดินหรือนั่งรถตุ๊กๆ กลับโรงแรมอีกที

“ Udaipur city palace #1” ภาพนี้ในทางเทคนิกไม่มีอะไรยุ่งยากครับ สิ่งที่ผิดไปจากการถ่ายภาพตามปกติของผมคือการตั้ง ISO ไว้ที่ 400 ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ความไวชัตเตอร์ที่สูงมากพอ ในระดับที่ผมมั่นใจว่าจะได้ภาพที่มีความคมชัดแน่นอน รอถ่ายภาพในจังหวะที่มีคลื่นน้ำเป็นริ้วๆ เพื่อไม่ให้ภาพส่วนด้านล่างมันดูราบเรียบจนเกินไป EOS 5D MK II, LENS TS-E 24 mm. F/3.5L II, 1/800 Sec. F/8, ISO 400

ความจริงเขามีเรือเป็นรอบนะครับ ซึ่งเก็บค่าตั๋วเป็นคนๆ ถูกกว่าที่เราเช่าเหมาลำเกือบเท่าตัว แต่เราประเมินแล้วว่า ถ้าต้องนั่งรวมไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็คงจะถ่ายภาพไม่สะดวกเท่าไร ถึงแม้ว่าเรือจะมีขนาดใหญ่พอสำหรับสิบห้าคนนั่งได้สบายๆ แต่สำหรับการถ่ายภาพ ที่ทุกคนจะต้องไหลมากองรวมกันในฝั่งที่เห็นพระราชวัง อยู่เพียงฝั่งเดียวแน่ๆ หากมีนักท่องเที่ยวคนอื่นอยู่ด้วยมันทำอย่างนั้นไม่ได้แน่นอนครับ ทุกคนเลยตัดปัญหายอมจ่ายเพิ่มอีกหน่อย เพื่อสร้างโอกาสในการถ่ายภาพให้มากขึ้น ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคากับภาพที่ได้มากครับ ด้วยจำนวนคนเพียงเจ็ดคน ทำให้เรานั่งบ้างยืนบ้างเรียงหน้ากระดานถ่ายภาพอยู่ฝั่งเดียวกันของเรือได้ทั้งหมด โดยที่เรือก็มีเอียงไปบ้างแต่ยังอยู่ในองศาที่ปลอดภัยครับ แสงก็ดีน่าใจหาย ฟ้าใส เมฆสวย ครบองค์ประกอบที่สวยงามของการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมเลยทีเดียว

“ Udaipur city palace #2” หลังจากเก็บภาพพระราชวังด้วยเลนส์มุมกว้างจนพอใจแล้ว ผมก็เปลี่ยนเอาเลนส์ 70-200 มม. ออกมาใช้ โดยไม่ต้องวัดแสงอะไรใหม่ ใช้ระบบบันทึกภาพแมนนวลกับค่าเดิมที่ตั้งไว้กับเลนส์มุมกว้างก่อนหน้านี้ เพราะในช่วงนี้ สภาพแสงคงที่ ทิศทางแสงก็เหมือนเดิม การใช้ระบบบันทึกภาพแบบแมนนวลวัดแสงให้พอดีตั้งแต่แรก แล้วก็ตั้งค่านั้นถ่ายภาพได้ยาวไปเลยครับ สะดวกง่ายดายกว่าใช้ระบบอื่นๆ ที่ต้องมาคอยชดเชยแสงในแทบทุกครั้งของการกดชัตเตอร์ มันเสียเวลาเสียสมาธิไปเปล่าๆ ครับ ชั่วโมงนี้ เอาสมาธิไปจดจ่อกับการวางกล้องให้ตรง ไม่เอียงไปมาตามการเอียงของเรือจะดีกว่าครับภาพนี้เลือกถ่ายเน้นในบริเวณที่เห็นยอดหลังคาเป็นโดมทรงกลมหลายๆ โดม ติดๆ กัน รอจังหวะให้มีเรือนักท่องเที่ยวลำอื่นๆ ผ่านเข้ามาเสริมเป็นฉากหน้าของภาพซะหน่อย EOS 5D MK II, LENS EF 70-200 MM. F/4L IS, 1/800 Sec. F/8, ISO 400

เราสั่งให้เรือลอยลำช้าๆ และให้อยู่ห่างจากตัวพระราชวังพอสมควร เพื่อที่จะถ่ายภาพรวมของพระราชวังได้ง่ายหน่อย เพราะวังมีขนาดใหญ่มาก หากล่องเข้าไปชมใกล้ๆ แบบนักท่องเที่ยวปกติ จะไม่สามารถเก็บภาพกว้างๆ ของพระราชวังได้ทั้งหมดครับ แม้ว่าจะใช้เลนส์มุมกว้างก็ตาม แถมยังเป็นมุมแหงนจนเกินไปอีกด้วย ผมใช้เลนส์มุมกว้างเก็บภาพรวมไว้ก่อน แล้วก็เปลี่ยนเอาเลนส์นอร์มอล เลนส์เทเลฯซูม มาเจาะเป็นส่วนๆ ไว้ด้วยเหมือนกัน เรียกว่าได้ใช้เลนส์ทุกช่วง เก็บภาพจนเต็มอิ่มจุใจ ผมคอยเตือนสมาชิกให้เปลี่ยนเลนส์ด้วยความระมัดระวังไม่ต้องรีบร้อน และแนะนำให้ใช้ความไวชัตเตอร์สูงกว่าปกติสักเท่าตัวเป็นอย่างน้อย เผื่อให้กับความเร็วในการเคลื่อนที่และความโคลงของเรือ แม้ว่ากล้องหรือเลนส์จะมีระบบกันสั่น 3 แกน 5 แกน ก็ตามที ยังไงการใช้ความไวชัตเตอร์สูงๆ ไว้ก่อนก็หวังผลได้แน่นอน ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยการปรับตั้งค่า ISO ให้สูงขึ้นตามไปด้วย มีน้อยส์เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกครับ ดีกว่าได้ไฟล์ภาพเนียนๆ สีดี แต่ขาดความคมชัดอย่างแน่นอน

ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปเสียงชัตเตอร์จากกล้องทั้งเก้าตัวดังระรัวต่อเนื่องแทบไม่มีหยุด (มีสองท่านที่ใช้กล้องคนละสองตัว ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์ ซึ่งสะดวกมากครับ แทบไม่มีจังหวะสะดุดเวลาถ่ายภาพเลย แต่ก็ต้องยอมแลกด้วยการแบกนํ้าหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาด้วยเช่นกัน)

“Under the Moon” ก่อนถ่ายภาพนี้ผมปรับเปลี่ยนการตั้งค่าบางอย่างในกล้องอีกครั้ง ด้วยการเปิดใช้ระบบ Highlight Priority เพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างของผนังวังที่ถูกแสงสปอร์ตไลท์ส่องจี้ไว้ ซึ่งกล้องจะเปลี่ยนค่า ISO ไปที่ 200 โดยอัตโนมัติ(ถ้าก่อนหน้านี้เราตั้งไว้ตํ่ากว่า 200 – แต่ถ้าตั้งไว้ที่ 200 หรือสูงกว่า ค่า ISO จะไม่เปลี่ยนแปลง)ปรับไว้บาลานซ์แบบเคลวินที่ตั้งไว้ 5000K ให้ลดลงมาเหลือที่ 3800K เพื่อให้แสงบริเวณวังไม่เหลืองมากจนเกินไป และช่วยทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าใสขึ้นมาอีกหน่อยด้วยครับส่วนดวงจันทร์นั้นเป็นของแถมที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมีเข้ามาในภาพด้วย แต่มีแล้วก็สร้างบรรยากาศโรแมนติกให้เกดขึ้นในภาพได้เป็นอย่างดีเลยครับแม้มันจะไม่มีรายละเอียดใดๆ เพราะความต่างของแสงมันมากเกินกว่าที่ระบบ Highlight Priority จะช่วยได้ แต่เนื่องจากมันมีขนาดค่อนข้างเล็กมากในภาพ จึงไม่ส่งผลเสียหายอะไร EOS 5D MK II, LENS TS-E 24 mm. F/3.5L II, 6 Sec. F/8, ISO 200

จากนั้นเรือมาส่งยังปลายแหลมฝั่งตรงข้ามตามที่เราเล็งไว้ พอลงจากเรือได้แต่ละคนก็หิ้วขาตั้งแยกย้ายกันเดินไปหามุมถ่ายภาพตามความต้องการ นัดแนะกันไว้คร่าวๆ ว่าสิ้นแสง ฟ้าดำสนิทเมื่อไรค่อยกลับมารวมตัวไปหามื้อค่ำรับประทานกันอีกทีตรงจุดนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดวงโตๆ นะครับ เพราะมีแนวเทือกเขากั้นไว้ แสงยังไม่ทันอ่อนแรงเท่าไร ท่านก็ทรงรถลับเหลี่ยมเขาไปก่อนแล้ว ทว่าเหนือพระราชวังกลางนํ้าเย็นวันนี้ก็ปรากฎแสงสีชมพูอ่อนๆ จับริ้วเมฆทรงสวย ให้ถ่ายภาพเป็นของแถมท้ายและพอได้เวลาก่อนฟ้าจะมืดค่ำ พระราชวังแห่งอุดัยปูร์ก็เปิดไฟส่องอาคารไว้ตามนัด โดยไม่ต้องให้ลุ้นกันจนเหนื่อยใจเหมือนบางแห่งว่าไฟจะเปิดหรือไม่เปิดกันแน่ เพราะก็มีหลายแห่งนะครับ ที่เขาจะรอให้ฟ้ามืดมิดสนิทนานเสียก่อนจึงค่อยเริ่มเปิดไฟ ซึ่งมองด้วยตามันก็สวยงามดี แต่กับการถ่ายภาพแล้วยังไงมันก็ให้ภาพที่สู้ช่วงฟ้าเป็นสีนํ้าเงินเข้มๆ ไม่ได้อย่างแน่นอนถือว่าเป็นวันที่สภาพแสง สภาพอากาศ และสิ่งต่างๆ เป็นใจให้กับการถ่ายภาพพระราชวังริมนํ้าแห่งนี้อย่างยิ่ง ทุกคนจึงได้ภาพสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนๆ ได้สมดังตั้งใจ ภารกิจถ่ายภาพพระราชวังอุดัยปูร์ริมนํ้าในยามเย็น จึงสำเร็จเป็น Plan A ด้วยความง่ายดายเกินคาดหมายของผมเสียอีกครับ
…………………………………………………………………………………………………………….

เรื่อง / ภาพ : จิรชนม์ ฉ่ำแสง


เรื่องระดับน้ำในทะเลสาบพิโคล่า มันแล้วแต่ดวงจริงๆ ครับ เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมเคยไป มันเป็นหน้าฝนเสียด้วยซ้ำ ทว่านํ้ากลับแห้งขอด แต่คราวนี้ไปในฤดูหนาว(ต้นเดือนธันวาคม) นํ้ากลับเต็มทะเลสาบหน้าตาเฉย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ระดับน้ำจะสูงตํ่าแค่ไหน เราก็สามารถถ่ายภาพได้อย่างแน่นอนครับ หากนํ้าน้อย ก็เดินเลือกมุมตั้งหลักปักขาได้ตามใจ แต่ถ้าน้ำมากก็จ้างเรืออย่างที่ผมทำในคราวนี้นั่นล่ะครับ นัดแนะหรือเลือกช่วงเวลาออกเรือก่อนอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาสักครึ่งถึง 1 ชั่วโมงกำลังสวย อย่าลืมหิ้วขาตั้งติดลงเรือมาด้วย เพราะเมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ก็สามารถถ่ายภาพพระราชวังช่วงเปิดไฟในยามโพล้เพล้ต่อได้ทันที


  • บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง สำหรับการวางแผนถ่ายภาพเมื่อต้องเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อันแปลกหูแปลกตา โดยเอาประสบการณ์การถ่ายภาพของผู้เขียนมาบอกเล่าแบ่งปันสู่กันฟัง โดยเอาความชอบของผู้เขียนเป็นที่ตั้ง หากแนวทางการถ่ายภาพจะไม่ถูกใจใครบ้างก็ขออภัยไว้ด้วยครับ และจริงๆ ก็ไม่ได้เน้นเรื่องสถานที่สักเท่าไร แต่อยากเน้นเรื่องวิธีการคิดและวางแผนสำหรับการถ่ายภาพ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานที่อื่นๆ ได้
    Plan A หมายถึง การถ่ายภาพที่สามารถทำได้ตามแผนทุกอย่างที่วางไว้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร
    Plan B หมายถึง การถ่ายภาพที่พบเจออุปสรรคบางประการ ทำให้ต้องมีการปรับแผนกันบ้าง อย่างเช่น เจอสภาพอากาศไม่เป็นใจ หาที่พักในจุดใกล้เคียงไม่ได้ ฯลฯ
    Plan C หมายถึง การถ่ายภาพที่พบเจออุปสรรคค่อนข้างมาก สิ่งที่คาดหวังไว้ ไม่เป็นอย่างที่คิด จนถึงขั้นต้องทำให้เปลี่ยนแผนไปเลย อย่างเช่น เจอกับการปิดซ่อมแซมสถานที่ เจอการเดินขบวนประท้วง เจอน้ำท่วมฉับพลัน หรือสถานการณ์ที่ล่อแหลมอันตราย หรืออาจหมายถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพเสียหายหรือสูญหาย ฯลฯ

อย่าลืมกด Like เพจ FOTOINFO เพื่อติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ ^^

(SCAN QR CODE ด้านล่างเพื่อเพิ่มเพื่อนใน Line อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ)

 


หรือสนใจบทความท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นี่

https://test2.fotoinfo.online/travels/photography-planner