หนึ่งในโหมดถ่ายภาพที่ช่างภาพทั่วไปมักจะไม่ใช้กันคือ โหมด P หรือโหมดโปรแกรม เพราะรู้สึก (กันไปเอง) ว่าเป็นโหมดที่กล้องปรับให้ทุกอย่าง ดูไม่โปร แต่จริงๆแล้ว โหมด P ทำอะไรได้มากกว่านั้น
โหมดถ่ายภาพในกล้องถ่ายภาพนั้น มีอยู่มากมายหลายรูปแบบ ทั้งโหมดโปรแกรมสำเร็จรูปง่ายๆ ที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายได้เลย ไม่ต้องปรับอะไรให้ยุ่งยาก ไปจนถึงโหมดสำหรับช่างภาพที่ซีเรียสกับคุณภาพของภาพถ่ายมากขึ้น
โดยปกติ ช่างภาพมืออาชีพ มักจะไม่ใช้โหมดถ่ายภาพแบบโปรแกรมสำเร็จรูป หรือแบบออโต้ เพราะไม่สามารถปรับควบคุมค่าอะไรได้เลย ทุกอย่างกล้องตั้งให้ทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามืออาชีพส่วนใหญ่จะใช้โหมด M หรือโหมดแมนนวลเป็นหลัก เพราะต้องการปรับควบคุมการตั้งค่ากล้องด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และรูปแบบของภาพที่ต้องการด้วย
1. ยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ถ่ายภาพได้เลย
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121838363-1024x1024.jpg)
เหมือนกับโหมดออโต้อื่นๆ โดยกล้องจะปรับตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ และรูรับแสงให้อัตโนมัติ เหมาะสำหรับการไปพบเจอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน หรืออยากจะถ่ายภาพแคนดิด ทำให้เราถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพะวงปรับโน่น ปรับนี่ให้เสียเวลา และกล้องจะตั้งค่าให้ใหม่ทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยจะเป็นค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ปลอดภัยเสมอ กล้องมักเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกับรูรับแสงกว้างเป็นหลัก ตามค่าความไวแสงของกล้อง และสภาพแสงในขณะนั้น
2. แล้วโหมด A หรือ AV กับโหมด S หรือ TV ล่ะ
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121840428-1024x1024.jpg)
โหมด A หรือ AV หรือโหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ ช่างภาพจะตั้งค่ารูรับแสงเอง และกล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ ซึ่งกล้องจะคงค้างค่าล่าสุดที่ตั้งใช้ไว้ สมมุติว่า ล่าสุดถ่ายภาพใช้รูรับแสง f/11 กล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ตามรูรับแสง f/11 ซึ่งความเร็วชัตเตอร์อาจจะต่ำเกินไปจนทำให้ภาพเบลอได้ เมื่อคุณเปิดสวิทช์กล้องแล้วรีบถ่าย
ส่วนโหมด S หรือ TV หรือโหมดออโต้รูรับแสง ช่างภาพจะปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง ส่วนกล้องจะปรับรูรับแสงให้อัตโนมัติ และกล้องจะค้างค่าล่าสุดที่ใช้งานไว้เช่นกัน สมมุติว่า เพิ่งจะถ่ายภาพกีฬากลางแจ้งมา ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/1000 วินาที แต่สภาพแสงภายหลังอาจจะไม่มากเท่ากัน เช่นอยู่ในร่ม หรือในอาคาร หรือในช่วงพลบค่ำ ภาพที่ได้ก็จะติดอันเดอร์ หรือมืดแน่นอน ถึงแม้กล้องจะปรับรูรับแสงให้กว้างสุดแล้วก็ตาม
3. ปรับตั้งค่าความไวแสง หรือค่า ISO เองได้
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121842382-1024x1024.jpg)
ถ้าต้องใช้งานในสภาพแสงมากๆ ก็ตั้ง ISO ต่ำๆ (100 หรือ 200) แต่พอสภาพแสงน้อยๆ ก็เพิ่ม ISO ให้สูงขึ้นได้ตามความเหมาะสม เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว โหมดออโต้อื่นๆ มักจะไม่ให้ปรับค่าอะไรเพิ่มเติมได้อีก หรือจะเลือกใช้ Auto ISO ก็ได้
4. ปรับไวท์บาลานซ์เองก็ได้
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121844382-1024x1024.jpg)
เพื่อให้สีสันตรงตามสภาพแสง แต่ใช้แบบออโต้ก็แม่นเหลือหลายแล้วล่ะ ตรงนี้ตั้งเป็นแบบออโต้ไว้ได้เลยครับ หรือหากไม่ถูกใจยังสามารถปรับตามที่ต้องการได้
5. ปรับเปลี่ยนค่าก็ได้นะ
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121846421-1024x1024.jpg)
ไม่ใช่ว่ากล้องตั้งมายังไง ก็ถ่ายไปแบบนั้น เพราะกล้องจะออกแบบให้ปรับเปลี่ยนค่าที่กล้องตั้งให้ในตอนแรกได้ ภาษาช่างภาพเรียกกันว่า “โปรแกรมชิฟท์” เราสามารถหมุนแป้นควบคุม เพื่อเปลี่ยนรูรับแสงให้แคบลง ถ้าต้องการให้ชัดทั้งภาพ อยากจะละลายฉากหลังก็ปรับไปที่รูรับแสงกว้างได้ เอ๊า!! หยิบกล้องมาลองปรับกันเลยย..
6. ยังปรับชดเชยแสงได้อีกนะ
![](https://fotoinfo.online/wp-content/uploads/2024/02/FB_IMG_1704121848738-1024x1024.jpg)
การชดเชยแสง เป็นการปรับเปลี่ยนค่าการวัดแสงที่กล้องตั้งให้ หรือหลังจากที่เราปรับชิฟท์ค่าใหม่แล้ว อาจจะได้ภาพที่มืด หรือสว่างจนเกินไป ก็สามารถปรับชดเชยแสงไปทางลบ (-) เมื่อภาพสว่างเกินไป และปรับไปทางบวก (+) เมื่อภาพมืดเกินไปครับ รวมถึง แม้จะใช้ Auto ISO ยังสามารถปรับชดเชยแสงได้ ซึ่งกล้องจะปรับค่า ISO ใหม่ให้ตามค่าชดเชยแสงครับ
ใครที่ไม่เคยใช้โหมด P น่าจะพอรู้ประโยชน์ และการใช้งานของโหมดกล้องโหมดนี้กันแล้วนะะครับ ใช้โหมด P ไม่ได้หมายถึงไม่โปร ไม่ได้หมายถึงถ่ายรูปไม่ได้ ใช้กล้องไม่เป็นอีกต่อไป หยิบกล้องขึ้นมาลองเลยครับ
Leave feedback about this