EOS R5 C เป็นกล้องถ่ายภาพยนตร์แบบไฮบริดที่มีการออกแบบใกล้เคียงกับ EOS R5 แต่เพิ่มคุณสมบัติและประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอ เช่น การบันทึกวิดีโอ RAW แบบ 8K ได้ไม่จำกัดซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายทำวิดีโอระดับมืออาชีพ และด้วยระบบออโตโฟกัสชั้นยอดทำให้มันเป็นกล้อง Run-and-Gun ที่ไม่มีในกล้อง 8K ทั่วไป
ระบบระบายความร้อนภายในแบบแอคทีฟที่ทำให้สามารถบันทึกวิดีโอ RAW แบบ 8K ที่ 60p* ได้แทบไม่จำกัด
EOS R5 C แก้ปัญหาระยะเวลาที่จำกัดในการบันทึกแบบ 8K ของ EOS R5 โดยเพิ่มระบบพัดลมระบายความร้อนในตำแหน่งด้านหลังของกล้องช่วยควบคุมความร้อนไม่ให้สูงเกินไปขณะถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง เช่น วิดีโอ 8K ทำให้สามารถบันทึกวิดีโอ RAW แบบ 8K ได้โดยแทบไม่ต้องหยุดพักเมื่อใช้อุปกรณ์จ่ายไฟเสริมจากภายนอก ซึ่งมีให้เลือกใช้ทั้งแบบที่เป็นแบตเตอรี่ดัมมี่ AC adapter ต่อไฟตรง (DR-E6C + CA-946) และผ่าน USB Type C (Powerbank แบบ PD)
สามารถป้องกันฝุ่นและละอองน้ำระดับเดียวกับกล้อง EOS C70 และ EOS C300 Mark II ด้วยตัวกล้องกะทัดรัดและน้ำหนักเบา EOS R5 C จึงเป็นกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่ให้ความคล่องตัวสูงกว่ากล้อง 8K ทั่วไป
ความแตกต่างจาก EOS R5 ที่ชัดเจนได้แก่ ปุ่มชัตเตอร์สีแดงซึ่งทำหน้าที่เป็นปุ่มบันทึกสำหรับการถ่ายวิดีโอ และตราสัญลักษณ์ตัว ‘C’ สีแดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกล้อง Cinema EOS มีการเพิ่มไฟแสดงการบันทึกที่ด้านบนของโลโก้ “Canon” เพื่อแสดงว่าอยู่ระหว่างการบันทึก
ผู้ที่ใช้เพียงแค่แบตเตอรี่ภายในตัวกล้องควรทราบด้วยว่าอายุแบตเตอรี่เดิมนั้นสั้นกว่ามาก คืออยู่ที่ 40 นาทีโดยประมาณ* ดังนั้นจึงควรวางแผนการถ่ายทำของคุณและเตรียมแบตเตอรี่สำรองไปให้พร้อมสำหรับระยะเวลาการถ่ายทำที่คุณวางแผนไว้ แต่แนะนำให้ใช้อุปกรณ์จ่ายไฟเสริมจากภายนอก ซึ่งมีให้เลือกใช้งานตามที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้า
แยก UI (อินเทอร์เฟซผู้ใช้) ทำให้เข้าสู่ฟังก์ชั่นถ่ายภาพหรือวิดีโอได้สะดวก
ความโดดเด่นในการเป็นกล้องไฮบริดของ EOS R5 C คือ กล้องจะมี UI (อินเทอร์เฟซผู้ใช้) ที่แตกต่างกันสองรูปแบบสำหรับการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ เมื่อหมุนสวิตช์เปิดไปที่ “PHOTO” จะเป็นการเปิดใช้งาน UI แบบเดียวกับกล้อง EOS R5 ซึ่งมีคุณสมบัติ รูปแบบเมนู และประสิทธิภาพแทบไม่ต่างกัน แต่เมื่อหมุนสวิตช์ไปที่ “VIDEO” จะเป็นการเปิดใช้งาน UI ในรูปแบบของกล้อง Cinema EOS ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ UI ของ EOS C70 โดยจะแสดงเมนูของกล้อง Cinema EOS แยกการทำงานและเซ็ทติ้งของภาพนิ่งและวิดีโอออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ฟังก์ชันในภาค Cinema ที่ช่างภาพวิดีโอต้องการ เช่น การปรับ Gain การปรับเลือกค่า Native ISO การปรับค่ามุมชัตเตอร์ (Shutter Angle) การแสดงผล False Color บนหน้าจอ แลอื่นๆ อีกมากมาย EOS R5 C ก็มีตัวเลือกดังกล่าวเช่นเดียวกับกล้องถ่ายภาพยนตร์รุ่นอื่นๆ ซึ่งจะพบว่าการสลับการใช้งานเป็นเรื่องง่ายเนื่องจากมีเมนูและคุณสมบัติการใช้งานที่คุ้นเคยทั้ง PHOTO และ VIDEO
EOS R5 C จึงเปรียบเสมือนการมีกล้องสองตัวที่ยอดเยี่ยมในบอดี้เดียว ทั้งกล้องถ่ายภาพนิ่งที่โดดเด่น และกล้องถ่ายภาพยนตร์อันทรงพลัง การเปิดโหมดภาพถ่ายใช้เวลาเพียงราว 0.4 วินาที ส่วนการเปิดโหมดวิดีโอใช้เวลาประมาณ 1.2 วินาทีเท่านั้น และเพียงแค่สับสวิตช์ คุณก็จะสามารถเปลี่ยนจากฟังก์ชั่นหนึ่งไปยังอีกฟังก์ชั่นหนึ่งได้ทันที
บันทึกภายในตัวได้สูงสุด 8K RAW 60p ด้วยรูปแบบการบันทึกที่หลากหลาย
EOS R5 C มาพร้อมกับรูปแบบการบันทึกหลากหลายสำหรับกล้องถ่ายภาพยนตร์ ในการบันทึกรูปแบบ RAW กล้องจะใช้รูปแบบ Cinema RAW Light อันทรงประสิทธิภาพซึ่งมีใช้ในกล้อง Cinema EOS รุ่นอื่นเช่นกัน แต่จะมีโหมดที่พัฒนาขึ้นใหม่สามโหมดซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้ตามความต้องการในการถ่ายวิดีโอของตนเอง ได้แก่
– คุณภาพสูง (RAW HQ)
– คุณภาพมาตรฐาน (RAW ST)
– การบันทึกแบบ Light (RAW LT)
ในขณะที่ EOS R5 สามารถถ่ายวิดีโอ 8K RAW ได้สูงสุดที่ 30p/25p เท่านั้น แต่ EOS R5 C สามารถถ่ายได้สูงสุดที่ 60p/50p ในโหมด RAW LT นอกจากไฟล์ RAW และ MP4 แบบ 8K แล้ว กล้องยังรองรับการบันทึก 4K ในรูปแบบ XF-AVC ด้วย ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการแพร่ภาพของ MXF
รูปแบบหลักที่ EOS R5 C รองรับ
แม้จะบันทึกแบบ 4K แต่ความสามารถระดับ 8K ของกล้องจะทำให้คุณสามารถใช้การอ่านพิกเซล 8K เต็มรูปแบบได้ในการสร้างไฟล์ 4K จากการ Oversampling จาก 8K แล้วแปลงเป็น 4K ซึ่งจะให้คุณภาพของภาพที่สูงกว่าและเกิดเอฟเฟ็กต์มอเร่ สีเพี้ยน ความผิดเพี้ยน และจุดรบกวนน้อยกว่า นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกด้วยเฟรมเรทสูงแบบ 4K/120p ด้วยความลึกของสีสูงสุด 4:2:2 10 บิต (Long GOP/Intra-frame) และมีการบันทึกเสียงไปด้วยในรูปแบบไฟล์ WAV แยกกัน
EOS R5 C มีช่องเสียบการ์ดแบบคู่ ซึ่งรองรับการ์ด CF express Type B หนึ่งช่องและการ์ด SD หนึ่งช่อง การบันทึกในรูปแบบอัตราบิตสูงเช่น RAW แบบ 8K จะต้องใช้การ์ด CF express Type B แต่การบันทึกไปยังการ์ด SD ก็สามารถทำได้กับไฟล์ RAW ที่เบากว่า เช่น ไฟล์ RAW LT ถ่ายด้วยโหมดครอป Super 35 มม. ที่ 24p
รองรับเอาต์พุต RAW แบบ HDMI และสามารถบันทึกในรูปแบบ Apple ProRes RAW ได้สูงสุดถึง 8K ที่ 30p แบบ 10 บิต นอกจากนี้ EOSR5 C ยังรองรับการบันทึกไฟล์วิดีโอความละเอียดต่ำไปยังการ์ด SD พร้อมกันเพื่อขั้นตอนการตัดต่อที่สะดวกรวดเร็วขึ้น
EOS R5 C รองรับ Canon Log 3 ภายในกล้อง สามารถใช้ Canon Log 2 กับไฟล์ที่ถ่ายในรูปแบบ Cinema RAW Light ได้ขณะดำเนินการในขั้นตอนหลังการถ่ายทำโดยใช้เครื่องมือปรับแต่งภาพ RAW สำหรับภาพยนตร์ของ Canon ซึ่งจะทำให้ได้การปรับสีที่สม่ำเสมอเมื่อใช้ EOS R5 C ร่วมกับกล้อง Canon รุ่นอื่น รวมถึงกล้อง Cinema EOS รุ่นอื่นด้วย
สำหรับการถ่ายแบบ HDR นอกจากรูปแบบ HDR PQ (Perceptual Quantization) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว EOS R5 C ยังรองรับ Hybrid Log-Gamma (HLG) ด้วย
ระบบ AF และระบบป้องกันภาพสั่นไหว
AF ในโหมดวิดีโอและโหมดภาพถ่าย
ในโหมดวิดีโอ EOS R5 C ใช้เฟิร์มแวร์ของ Cinema EOS ประสิทธิภาพ AF จึงแตกต่างไปจาก EOS R5 เล็กน้อย แม้จะมีระบบ Dual Pixel CMOS AF ความแม่นยำสูงเช่นเดียวกัน แต่พื้นที่ครอบคลุม AF จะอยู่ที่ประมาณ 80% x 80% ของพื้นที่ภาพ และสามารถใช้ Dual Pixel Focus Guide ได้ในขณะโฟกัสแบบแมนนวล ตรวจจับและติดตามตัวแบบที่เป็นคนได้อย่างง่ายดายเนื่องจากรองรับ Eye/Head Detection AF
ในโหมดภาพถ่าย Dual Pixel CMOS AF II จะทำงานและมีพื้นที่ครอบคลุม AF ประมาณ 100% x 100% ของพื้นที่ภาพขณะทำการเลือก AF อัตโนมัติ EOS iTR AF X ในโหมดภาพถ่ายรองรับการตรวจจับดวงตาและศีรษะ รวมถึง Animal Detection AF ซึ่งตรวจจับสุนัข แมว และนก
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
แทนที่จะใช้ระบบ IS ในตัวกล้องแบบตรวจจับการสั่นของเซนเซอร์ภาพที่มีใน EOS R5 กล้อง EOS R5 C จะใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหว 5 แกนแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ซึ่งโดยทั่วไปช่างบันทึกภาพวิดีโอจะชื่นชอบมากกว่าและยังนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพในกล้องถ่ายภาพยนตร์เช่น EOS C70 ด้วย เมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออพติคอลภายในตัว ทั้งสองระบบจะทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นระบบ IS แบบประสานการควบคุมที่ให้ประสิทธิภาพการป้องกันภาพสั่นไหวที่ดียิ่งขึ้น
กล้อง Run-and-Gun ชั้นเลิศ
ด้วยขนาดตัวกล้องที่เล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบาและระบบออโตโฟกัสที่เยี่ยมยอดในการตรวจจับ ใบหน้า ดวงตา ทำให้ EOS R5 C เป็นกล้องแบบ Run-and-Gun 8K ที่คล่องตัวสูง สามารถเคลื่อนกล้องตามซับเจ็กต์ได้สะดวกเมื่อต้องทำงานคนเดียว
ฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่น: พร้อมอินเทอร์เฟซดิจิทัลเพื่อการรองรับอุปกรณ์ระบบเสียง
ฐานเสียบอุปกรณ์เสริมมัลติฟังก์ชั่นในกล้อง EOS R5 C เหมือนกับฐานของ EOS R3 และมีช่องต่อแบบดิจิทัลรองรับอุปกรณ์เสริมสำหรับระบบเสียงเพิ่มเติม นอกจากขาพิน 5 ขาที่พบในฐานเสียบแฟลชทั่วไป เมื่อติดตั้งไมโครโฟนสเตอริโอ DM-E1D จะสามารถบันทึกเสียงคุณภาพสูงแบบไร้สายได้ ฐานเสียบรุ่นใหม่นี้ทำให้อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งสามารถใช้ไฟจากกล้องได้ จึงทำให้การบันทึกเสียงเป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่ของไมโครโฟนจะหมด
นอกจากนี้ ฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นยังรองรับอแดปเตอร์ไมโครโฟน XLR ยี่ห้ออื่นด้วย ซึ่งทำให้สามารถติดตั้งไมโครโฟน XLR และอุปกรณ์ระบบเสียงแบบไร้สายได้เพื่อการบันทึกเสียงคุณภาพสูง
อินเทอร์เฟซ: มีช่องต่ออินพุต/เอาต์พุตสำหรับ Time code เพื่อช่วยในการติดตั้งกล้องหลายตัว
นอกจากช่องต่อ HDMI Out (Type D), ไมค์, หูฟัง, รีโมตคอนโทรล (N3-type) และ USB Type-C ที่พบในกล้อง EOS R5 แล้ว EOS R5 C ยังมีช่องต่อสำหรับ Time code ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ในการซิงค์ข้อมูลระหว่างกล้องในการตั้งค่าที่ใช้กล้องหลายตัว และการเพิ่มระบบระบายความร้อนเข้ามาทำให้มีการปรับตำแหน่งของหน้าจอแบบปรับหมุนได้ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณมั่นใจได้ว่าหน้าจอจะไม่กีดขวางสายใดๆ ที่ติดตั้ง
โหมดภาพถ่าย: ความสามารถเช่นเดียวกับ EOS R5
ในโหมดภาพถ่าย EOS R5 C ใช้เฟิร์มแวร์ของระบบ EOS R และมีฟังก์ชั่นการทำงานรวมถึงประสิทธิภาพโดยทั่วไปเช่นเดียวกับ EOS R5 ซึ่งได้แก่:
– ภาพนิ่งความละเอียดสูงสุด 45 ล้านพิกเซล
– ความเร็วการถ่ายต่อเนื่องสูงสุด 20 fps
– ระบบ Dual Pixel CMOS AF II ที่มีพื้นที่ครอบคลุม AF สูงสุด 100%
– การตรวจจับตัวแบบที่เป็นมนุษย์ (ดวงตา ใบหน้า ศีรษะ ลำตัว) ด้วย EOS iTR AF X
– Animal Detection AF (ดวงตา ศีรษะ ลำตัวทั้งหมดของแมว สุนัข และนก) ด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก
– Vehicle Detection AF ด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (เทียบเท่าเฟิร์มแวร์เวอร์ชัน 1.5.0 ของกล้อง EOS R5)
ข้อมูลจาก https://snapshot.canon-asia.com/
Leave feedback about this