OTHER REVIEWS

Dual Cameras เทคโนโลยีกล้องคู่กับสมาร์ทโฟน

หากจะพูดถึงเทคโนโลยีของกล้องสมาร์ทโฟนยุคนี้ นอกจากเรื่องคุณภาพที่สูงขึ้นจากการใช้เลนส์และระบบโฟกัสที่ดีขึ้น มีระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น และฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น ชนิดที่ว่าในบางสถานการณ์สามารถนำภาพไปใช้งานจริงแทนกล้องหลักได้  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะกลายเป็นมาตรฐานของกล้องสมาร์ทโฟนยุคใหม่ไปแล้ว คือ นอกจากจะมีกล้องหน้า (Front camera) สำหรับถ่ายเซลฟี่ และกล้องหลัง (Rear camera) ความละเอียดสูงไว้ถ่ายภาพทั่วๆไปแล้ว  “Dual Cameras” หรือ “กล้องคู่” ดูจะเป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากขึ้นจนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องดูแล้วว่า สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ออกมา ใช้กล้องคู่รึเปล่า เช่น  iPhone7Plus , Huawei P9  และยังมีสมาร์ทโฟนบางรุ่นที่ใช้ทั้งกล้องหน้าคู่และกล้องหลังคู่ เช่น  Alcatel Flash 2017, Oppo F3 Plus เป็นต้น

ย้อนกลับไปเมื่อปี คศ. 2011 หากจำกันได้ สมาร์ทโฟนแบรนด์แรกของโลกที่ใช้กล้องหลังคู่คือ HTC ตามมาด้วย LG ซึ่งทั้งสองค่ายในตอนนั้นใช้กล้องแบบ Stereoscope แบบสองเลนส์ถ่ายภาพสองครั้งแล้วนำมาซ้อนกันให้มุมมองภาพแบบภาพสามมิติ แต่ไม่ได้รับความนิยม และกระแสกล้องคู่ค่อยๆซาไป  อาจจะเป็นเพราะการใช้กล้องมากกว่าหนึ่งตัวนั้น มีความยุ่งยากในการเชื่อมต่อการทำงานเข้าด้วยกัน  ต้องใช้ซอฟท์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ และชิปประมวลผลที่มีความเร็วสูง ซึ่งเทคโนโลยีในยุคเกือบสิบปีก่อนอาจจะยังไม่สามารถทำได้เต็มที่  บวกกับข้อจำกัดอีกประการหนึ่งของสมาร์ทโฟน คือการมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กและบาง ต่างจากกล้องถ่ายภาพทั่วๆ ไปซึ่งมีพื้นที่มากพอสามารถใส่ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ลงไปได้มากกว่า

แต่คุณภาพของกล้องสมาร์ทโฟน ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ ทั้งการใช้ชิ้นเลนส์คุณภาพสูง เลนส์ซูมแบบ Optic  เลนส์รูรับแสงกว้าง การเพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ให้ใหญ่ขึ้น การพัฒนาเซ็นเซอร์สำหรับใช้งานในสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ หรือปัจจุบันการนำเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในกล้องดิจิตอลมาใช้กับกล้องสมาร์ทโฟน  แต่ดูเหมือนแนวโน้มทางออกที่ลงตัวที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือการใช้กล้องคู่นั่นเอง โดยมีหลักการทำงานคือนำภาพที่ได้จากกล้องทั้งสองตัวมาประมวลผลให้เป็นภาพเดียวที่มีคุณภาพสูงขึ้นนั่นเอง

กล้องคู่คืออะไร ทำไมถึงดีกว่ากล้องตัวเดียว

กล้องคู่ หรือ Dual Camera เป็นการพัฒนาการทำงานของกล้องถ่ายภาพในสมาร์ทโฟนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ภาพถ่ายจากมีคุณภาพดีขึ้น นอกจากเลนส์ถ่ายภาพและเซ็นเซอร์สองชุดที่แยกการทำงานออกจากกันแล้ว ยังแยกซอฟท์แวร์ของกล้องแต่ละชุดออกจากกันโดยอิสระด้วย และอีกองค์ประกอบสำคัญคือซอฟท์แวร์หลักภายใน ซึ่งจะคอยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากกล้องทั้งสองชุด แล้วประมวลผลออกมาให้เป็นภาพๆเดียวที่มีคุณภาพดีที่สุด จึงได้ภาพที่มีทั้งรายละเอียด สีสัน ความคมชัด มิติของภาพ รวมไปถึงการจัดการกับสัญญาณรบกวนที่ดีขึ้น  ซึ่งแน่นอนว่าการใช้กล้องเดียวแบบเดิมไม่สามารถให้ผลภาพแบบเดียวกันนี้ออกมาได้ หากจะให้ใกล้เคียงที่สุดก็คงจะเป็นการแต่งภาพโดยใช้ Application เข้าช่วยนั่นเอง

สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นเรื่องกล้องคู่ ต้องยกให้กับ  Huawei P9  ที่แม้จะออกวางจำหน่ายมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้กล้องคู่ที่มีประสิทธิภาพสูงมากรุ่นหนึ่ง  โดยพัฒนาเลนส์ ระบบการทำงานและซอฟท์แวร์ร่วมกับ Leica  เป็นการใช้กล้องหลังคู่แบบเซ็นเซอร์สำหรับภาพสีหนึ่งตัวและเซ็นเซอร์สำหรับภาพขาวดำอีกหนึ่งตัว  และใช้ซอฟท์แวร์รวมภาพขาวดำกับภาพสีจากกล้องหลังแต่ละตัวเข้าด้วยกัน โดยนำข้อดีของภาพขาวดำที่สามารถเก็บแสง การไล่โทนและรายละเอียดภาพได้ดี มารวมกับข้อมูลของภาพสีออกมาเป็นภาพสีภาพเดียว  และในโหมดถ่ายภาพ  Bokeh ยังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนจุดโฟกัสได้หลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้ว เพราะความสามารถของการใช้กล้องทั้งสองตัวเก็บข้อมูลระยะชัดลึกของภาพไว้ทุกระยะ ซึ่งสมาร์ทโฟนที่ใช้กล้องเดียวไม่สามารถทำได้

ส่วนกล้องหลังคู่ที่ใช้ใน iPhone 7 Plus นั้นมีหลักการทำงานที่ต่างกันออกไป โดยจะเป็นกล้องถ่ายภาพสีเหมือนกันทั้งสองตัว แต่มีขนาดทางยาวโฟกัสของเลนส์ที่ต่างกัน โดยใช้เลนส์มุมกว้าง (Wide angle) หนึ่งตัว และอีกหนึ่งตัวใช้เลนส์เทเลโฟโต้ (Telephoto) ซึ่งกล้องทั้งสองตัวจะให้มุมมองภาพที่ต่างกัน นำมาใช้ร่วมกับการจำลองเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอในโหมดถ่ายภาพ Portrait โดยใช้ซอฟท์แวร์รวมเอาภาพบุคคลที่ถ่ายด้วยเลนส์เทเล เข้ากับฉากหลังที่เก็บด้วยเลนส์มุมกว้างและถูกเบลอด้วยซอฟแวร์เพื่อให้ภาพบุคคลที่ออกมาดูมีระยะชัดลึกคล้ายกับภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง DSLR นั่นเองกล้องหลังคู่จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับที่หมายถึงการมีกล้องให้ใช้เพิ่มอีกหนึ่งตัว แต่ยังหมายถึงการพัฒนาให้ภาพจากกล้องสมาร์ทโฟนมีคุณภาพดีขึ้น และยังสามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย

และฉบับนี้ผมขอแนะนำสมาร์ทโฟนกล้องคู่ระดับ Flagship ทั้ง  4 รุ่น ไปติดตามกันเลยดีกว่าครับ

Huawei P9 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องคู่จาก leica  ดีไซน์ที่เรียบหรูตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมแบบ All-Metal Unibody  บางเฉียบเพียง 6.95 มิลลิเมตร   มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ IPS-NEO LCD ขนาด 5.2”  ความละเอียด Full HD (1080×1920 พิกเซล)  ใช้กระจกขอบโค้งแบบ 2.5D  ใช้ชิปเซ็ต Octa-Core Kirin 955 ความเร็วในการประมวลผล 2.5 GHz หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-T880 MP4  รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow  มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของตัวเครื่อง มี  2 รุ่น คือ RAM ขนาด 3 GB พร้อม ROM  32 GB และ RAM ขนาด 4 GB พร้อม  ROM  ขนาด 64 GB  สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้  รองรับการใช้งาน 2  ซิมการ์ด (Dual nanoSIM : Dual Standby)  มีเชื่อมต่อแบบ USB Type-C  ใช้แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh  รองรับเทคโนโลยีชาร์จความเร็วสูงแบบ Fast Charge  ตัวเครื่องมีขนาด 145×70.9×6.95 มิลลิเมตร  น้ำหนัก 144 กรัม

Huawei P9 ใช้กล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) จาก Leica เซ็นเซอร์ความละเอียดตัวละ 12 ล้านพิกเซล  รูรับแสง F/2.2  และระบบออโต้โฟกัสแบบ Hybrid Autofocus พร้อมไฟแฟลช LED คู่ ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล  รูรับแสง  F/1.9 ระบบออโต้โฟกัส

Huawei P9Plus ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED  แบบ Touchscreen 16,700,000 สี ขนาด 5.5”  ความละเอียด Full HD (1080×1920 พิกเซล)  พร้อมฟีเจอร์ Press Touch รับแรงกดได้มากถึง 4 ระดับ  ใช้ชิปเซ็ต Octa-Core Kirin 955 ความเร็วในการประมวลผล 2.5 GHz  หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-T880 MP4  รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow  มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของตัวเครื่อง  ความจุ RAM ขนาด 4 GB และ ROM ขนาด 64 GB  สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้  รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C  ใช้แบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh  รองรับเทคโนโลยีชาร์จความเร็วสูงแบบ Fast Charge  ตัวเครื่องมีขนาด 152.3×75.3×6.98 มิลลิเมตร น้ำหนัก 162 กรัม  ใช้กล้องหลังคู่สเปคเดียวกับ P9

จุดเด่นของ Huawei P9 และ P9 Plus คือการใช้กล้องหลังคู่ (Dual Camera) ทางยาวโฟกัส 27 มม. ที่พัฒนาร่วมกับ Leica  ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated  (BSI CMOS) ความละเอียดตัวละ  12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดพิกเซล 1.25 ไมครอน รูรับแสง F/2.2   ไฟแฟลช LED แบบ Dual-Tone และระบบการโฟกัสภาพแบบ Hybrid Autofocus (Phase detection กับ เลเซอร์โฟกัส)   รวมทั้งระบบ  Touch Focus  โดยกล้องตัวแรกรองรับการถ่ายภาพสี RGB  ส่วนกล้องอีกตัวรองรับการถ่ายภาพ Monochrome หรือภาพขาว-ดำ ซึ่งกล้องทั้ง 2 ตัวจะทำงานผสานกัน  ช่วยให้ภาพที่ได้มีสีสัน  รายละเอียด การไล่โทน และระยะความชัดลึก ที่สูงกว่าการถ่ายด้วยกล้องทั่วไป ให้ภาพขาวดำที่ดูมีมิติ การไล่โทนจากสีขาวไปดำที่มีความละเอียด ใกล้เคียงกับกล้อง Leica  และยังสามารถเลือกปรับโฟกัสภาพใหม่หลังจากถ่ายภาพได้ด้วย  นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน ฟังก์ชัน Face Detection,  Smile Detection  โหมด HDR (High Dynamic Range), Panorama  ฟังก์ชัน Geo tagging  แนบข้อมูลพิกัดตำแหน่งกับรูปถ่าย  และฟังก์ชันตกแต่งแก้ไขรูปภาพ  รองรับการถ่ายวีดีโอ ความละเอียด Full HD /60 fps  การใช้งานฟังก์ชัน Video Calling (สนทนาพร้อมภาพวิดีโอ)

สองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้กล้องหลังคู่จาก Leica  และในรุ่น P10 Plus ยังใช้กล้องหน้าจาก Leica ด้วยดีไซน์คงคอนเซ็ปต์ความเรียบ หรู  บอดี้ของ Huawei P10 ผลิตด้วยเทคโนโลยี All-Metal Unibody จากอลูมิเนียมขึ้นรูปชิ้นเดียว เคลือบตัวเครื่องและแผงวงจรด้วยNano-Coating  ป้องกันความเสียหายจากละอองนํ้า มีลักษณะพื้นผิวให้เลือกตามสีของบอดี้  คือ Hyper Diamond-Cut Finishing, Sandblast และ High Gloss  ใช้ปุ่มโฮมระบบสัมผัสวางไว้ใต้กระจกหน้าจอ พร้อมเทคโนโลยี Smart Touch และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่มโฮม หน้าจอแสดงผลแบบ IPS-NEO LCD Full HD 1080p ขนาด 5.1”  ความละเอียด Full HD กระจกป้องกันหน้าจอ 2.5D Corning Gorilla Glass 5   ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit octa-core Hisilicon Kirin 960   หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G71 MP8  ความจุ RAM ขนาด 4GB และ ROM ขนาด 64GB  รันระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat  รองรับ microSD สูงสุด 256GB  เชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth 4.2, USB Type-C และ NFC  รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) แบตเตอรี่ความจุ 3200 mAh  ตัวเครื่องมีขนาด 145.3×69.3×6.98 มิลลิเมตร  นํ้าหนัก 145 กรัม

Huawei P10 ใช้กล้องหลังแบบคู่ (Dual-Camera) จาก Leica  โดยแยกเป็นกล้องตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล  รูรับแสง F/2.2  มาพร้อม ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)   กล้องหน้าความละเอียด 8  ล้านพิกเซล  รูรับแสง F/1.9

Huawei P10Plus ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ IPS-NEO LCD  2K Quad HD ขนาด 5.5” ความละเอียด 1440×2560 พิกเซล และกระจกป้องกันหน้าจอ 2.5D Corning Gorilla Glass 5  ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit octa-core Hisilicon Kirin 960 หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G71 MP8  ความจุ RAM มีสองขนาด 4GB / 6GB  และ ROM สองขนาด  64GB / 128GB  รันระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat  รองรับ microSD สูงสุด 256GB  เชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth 4.2, USB Type-C และ NFC  รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) แบตเตอรี่ความจุ 3750 mAh ตัวเครื่องมีขนาด 153.5×74.2×6.98 มิลลิเมตร นํ้าหนัก 165 กรัม

Huawei P10Plus ใช้กล้องหลังคู่ (Dual-Camera) จาก Leica แยกเป็นกล้องตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล  รูรับแสงกว้าง F/1.8  มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)  และยังใช้กล้องหน้าจาก Leica ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.9

จุดเด่นของ Huawei P10 และ P10 Plus คือการใช้กล้องหลังคู่ (Dual Camera) ที่พัฒนาร่วมกับ Leica  มาอย่างต่อเนื่อง ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated  (BSI CMOS)  กล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ Monochrome ความละเอียด
20 ล้านพิกเซล   อีกตัวใช้เซ็นเซอร์ RGB ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  ติดเลนส์ Leica SUMMILUX-H  27มม. f/1.8 ASPH ใช้ซอฟแวร์ใหม่ Leica Dual Camera 2.0 Pro Edition  พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilization) ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ 4-in-1 Hybrid Autofocus (PDAF (Phase Detection)+CAF (Continuous)+Laser+Depth Autofocus) รวมทั้งระบบ  Touch Focus  พร้อม ไฟแฟลช  Dual LED แบบ Dual-Tone   กล้องทั้ง 2 ตัวจะทำงานผสานกัน เหมือนรุ่น P9  แต่ประมวลผลด้วยซอฟแวร์ใหม่  ช่วยให้ภาพที่ได้มีสีสัน  รายละเอียด การไล่โทน และระยะความชัดลึก ที่ดีกว่า เป็นธรรมชาติกว่า  ทั้งภาพสีและขาวดำ

นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน ฟังก์ชัน Face Detection,  Smile Detection  โหมด HDR (High Dynamic Range), Panorama ,ซูมภาพ 2x Hybrid Zoom, Highlights  โหมดถ่ายภาพโบเก้ (Bokeh : Depth-of-Field) ฟังก์ชัน Geotagging  แนบข้อมูลพิกัดตำแหน่งกับรูปถ่าย  และฟังก์ชันตกแต่งแก้ไขรูปภาพ และรองรับการถ่ายภาพวิดีโอ ความละเอียด 4K UHD / 30 fps  และ Full HD /60 fps

ในรุ่น P10 Plus ใช้กล้องหน้าจาก Leica  ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.9  พร้อมระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (Autofocus) การใช้งานฟังก์ชัน Video Calling (สนทนาพร้อมภาพวิดีโอ)

สมาร์ทโฟนระดับ Flagship เปิดตัวต้นปีนี้ในงาน CES 2017 ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Full Metal Unibody  ขึ้นรูปจากโลหะชิ้นเดียว   ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 5.5” ความละเอียด Full HD 1080p ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 มีขอบหน้าจอบางเพียง 2.08 มิลลิเมตร  มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 625 ความเร็ว 2.0 GHz  หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 506  ความจุ RAM ขนาด 4GB และ ROM ให้เลือก 3 ขนาด 32GB, 64GB และ 128GB รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow  รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)รองรับ microSD  ความจุสูงสุดที่ 2TB  แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh  เชื่อมต่อด้วยพอร์ต USB Type-C  เชื่อมต่อไร้สายผ่าน  Wi-Fi  และ Bluetooth 4.2ตัวเครื่องมีขนาด 154.3x77x7.99 มิลลิเมตร  น้ำหนัก 170 กรัม

Asus ZenFone 3 Zoom (ZE553KL) ใช้กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX217  พิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน  รูรับแสง F/2.0   โดดเด่นด้วยกล้องหลังแบบคู่ (Dual-Camera) เทคโนโลยี  PixelMaster 3.0 ความละเอียดตัวละ  12 ล้านพิกเซล  ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX362  โดยใช้เลนส์มุมกว้างขนาด 25 มมม.  และอีกตัวใช้เลนส์ขนาด 59 มม.  รูรับแสง  F/1.7  พิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน  และมีซูมแบบ Optical สูงสุด 2.3 เท่า (Optical Zoom 2.3X)  มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS แบบ 4 แกน และ EIS แบบ3 แกน  ใช้ระบบออโต้โฟกัส TriTech Autofocus ประกอบไปด้วย Dual Pixel PDAF (Phase Detection Auto Focus), Subject Tracking Autofocus และ Laser Autofocus สามารถโฟกัสวัตถุได้ภายในเวลาเพียง 0.03 วินาที  มีไฟแฟลช Dual LED ฟังก์ชั่นที่เด่น เช่น Touch Focus, Face Detection, ตรวจจับรอยยิ้ม (Smile Detection) โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า (Panorama) , โหมดถ่ายภาพแบบ High Dynamic Range (HDR)

Asus ZenFone 3 Zoom (ZE553KL) เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของค่ายที่มาพร้อมฟีเจอร์ SuperPixel เทคโนโลยีที่ช่วยในการถ่ายภาพในสภาวะที่มีแสงน้อย  โดยการประมวลผลสภาวะแสง และทำการควบคุมค่าความไวแสง (ISO) ในขณะถ่ายภาพเพื่อควบคุม noise ในภาพ พร้อมรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW  และบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD/30 fps (2160×3480 พิกเซล) และถ่ายวีดีโอ Slow Motion

สมาร์ทโฟนรุ่น Flagship ของระบบปฏิบัติการ iOS  ใช้หน้าจอแสดงผล  Retina HD IPS LCD ขนาด 5.5” ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลที่ 401 ppi พร้อมฟีเจอร์ Wide Color Gamut  แสดงผลของสีที่มากขึ้น และสว่างกว่าเดิมถึง 25%  รองรับ 3D Touch  ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Quad-Core Apple A10 Fusion  ให้ความเร็วในการประมวลผลเร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิม  พร้อมหน่วยประมวลผล  M10 Motion Coprocessor สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว   ใช้ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้งานระบบ Taptic Engine ซึ่งเป็นมอเตอร์ระบบสั่น แค่แตะก็สามารถทำงานได้ และรองรับการใช้งาน Quick Actions ตัวเครื่องมีฟีเจอร์ป้องกันน้ำและฝุ่นละอองมาตรฐาน IP67  ติดลำโพงคู่สเตอริโอ บน-ล่าง ตัวเครื่อง (Dual-Speaker) มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด  รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย LTE ด้วยความเร็วสูงสุด 450Mbps  เชื่อมต่อไร้สายผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ NFC  ตัวเครื่องมีขนาด 158.2×77.9×7.3 มิลลิเมตร นํ้าหนัก 188 กรัม

iPhone 7 Plus ใช้กล้องหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 รองรับ FaceTime HD   โดเด่นด้วยกล้องหลัง  iSight แบบคู่ (Dual-Camera) ติดเลนส์ต่างกัน 2 ระยะ คือเลนส์มุมกว้าง (Wide-Angle) รูรับแสง f/1.8  และเลนส์อีกชุดเป็นเลนส์เทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 56 มม.  รูรับแสง f/2.8  ใช้โครงสร้างเลนส์  6 ชิ้น พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS  รองรับการซูมภาพ 2 เท่า (2X Optical Zoom) โดยไม่สูญเสียรายละเอียดภาพ และฟังก์ชั่นการซูมภาพแบบ Digital Zoom สูงสุดถึง 10 เท่า นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ DOF (Depth of Field) หรือควบคุมระยะความชัดลึกชัดตื้นของภาพ สำหรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอด้วย และมีไฟแฟลช True Tone LED สี่ดวง (Quad-LED)พร้อมระบบการคำนวณค่าแสงตามสภาพจริง ที่จะช่วยให้ภาพมีสีสันที่สมจริงมากที่สุด ฟังก์ชั่นอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น ระบบตรวจจับใบหน้าและร่างกาย, โหมด panorama, HDR, แนบพิกัดกับภาพถ่าย

iPhone 7 Plus รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด  4K UHD /30fps  หรือแบบ Full HD/60fps  สามารถซูมภาพได้ 2 เท่า และดิจิตอลซูมได้สูงสุด 6 เท่าขณะบันทึกวิดีโอ  ใช้งานระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ขณะถ่ายวีดีโอ  รองรับวิดีโอสโลว์โมชั่น ความละเอียด  Full HD 1080p /120 fps และ  HD 720p /240 fps  บันทึกไฟล์ภาพนิ่งจากวีดีโอที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล  และถ่ายวีดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการใช้กล้องคู่จะทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพดีขึ้น มีรายละเอียดสีสัน ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่าไรก็ตาม สิ่งที่ควรคำนึงถึงเสมอคือหลักการถ่ายภาพและการรู้จักขีดความสามารถของเครื่องมือที่ใช้ ทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยให้ถ่ายภาพได้ดี ได้มากกว่าการวิ่งตามกระแสเทคโนโลยีที่ไม่มีวันจบสิ้นไปเรื่อยๆ ครับ

เรื่อง / ภาพ : สมศักดิ์ ทัศนเศรษฐ

อย่าลืมกด Like เพจ FOTOINFO เพื่อติดตามและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ อย่างทันท่วงทีกันนะคร๊าบ ^^


หรือสนใจดูเรื่องราวเกี่ยวกับ Smart Phone ที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นี่
https://test2.fotoinfo.online/mirrorless-smart-phone/smart-phone-corner/